< Back

5 แนวทางการใช้ AI และเทคโนโลยีทั่วโลกกับร้านสะดวกซื้อ

TechnologyMarketingBusinessการสร้างประสบการณ์ที่ดีการ ใช้ aiAI in business AI business
AD
โดย:Jenosize.com
share999share0

5 เทคนิคทำธุรกิจร้านสะดวกซื้อโดยนำ AI และเทคโนโลยีมาปรับใช้


อย่างที่รู้กันว่าปัจจุบันนี้ โลกของเรามีเทคโนโลยีและดิจิทัลที่ได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในระยะเวลาอันรวดเร็ว ผ่านมาเพียงไม่กี่ปี การใช้ชีวิตประจำวันของเราก็มีสิ่งเหล่านี้สอดแทรกอยู่แทบจะทุกแง่มุมเลยก็ว่าได้ เป็นเหตุให้ธุรกิจต่าง ๆ ต้องปรับตัวตามโดยการหยิบยกเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ เพื่อสร้างความทันสมัย อัปเกรดธุรกิจให้ดูใหม่และเท่าทันกระแสสังคมอยู่เสมอ และหนึ่งในประเภทธุรกิจที่เห็นได้ชัดเลยคือ ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ที่มีการใช้ AI หรือปัญญาประดิษฐ์เป็นกลยุทธ์สำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า และสร้างโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจ


บทความนี้จะมาพูดถึง 5 เทคนิคการใช้ AI และเทคโนโลยีต่าง ๆ ทั่วโลกกับธุรกิจร้านสะดวกซื้อ พร้อมยกตัวอย่างเคสธุรกิจของต่างประเทศ ที่สามารถนำมาปรับใช้ในไทยได้ ไปดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง !


5 แนวทางการปรับใช้เทคโนโลยีและ AI กับธุรกิจร้านสะดวกซื้อ


1. การใช้ระบบการชำระเงินอัตโนมัติ

เนื่องจากผู้บริโภคนิยมพกเงินสดกันน้อยลง ร้านค้าปลีกจึงควรอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าด้วยการนำเทคโนโลยีการชำระเงินแบบไร้สัมผัสมาใช้ เช่น การจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต/เดบิต คิวอาร์โคด หรือ Mobile Wallet ช่วยให้ลูกค้าสามารถชำระเงินได้อย่างรวดเร็ว สะดวก และปลอดภัย

นอกจากเทคโนโลยีพื้นฐานข้างต้นแล้ว ธุรกิจยังสามารถใช้ AI เข้ามาช่วยด้านการบันทึกใบหน้าและข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าประจำได้ด้วย เพื่อจดจำรูปแบบการซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ ที่ลูกค้าเคยใช้ เมื่อลูกค้าเดินเข้ามาในร้าน ระบบก็จะรู้จักและสามารถเรียกข้อมูลการใช้บริการในอดีตของลูกค้ามาแสดงบนจอแคชเชียร์ทันที ช่วยให้ลูกค้าเลือกซื้อสินค้าที่เคยใช้ได้อย่างรวดเร็ว โดยเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ระบบ Computer Vision ที่ช่วยประมวลผลจากภาพ ระบบ Sensor Fusion ที่ติดตั้งตามจุดต่าง ๆ เพื่อดูว่าลูกค้าหยิบสินค้าชนิดใด และ Deep Learning ระบบการเรียนรู้เชิงลึกที่จะช่วยประมวลผลการชำระเงิน


2. การใช้ระบบการจัดการสินค้าคงคลัง

สำหรับร้านสะดวกซื้อแล้ว การจัดการสินค้าคงคลังย่อมเป็นสิ่งสำคัญ แต่ปัจจุบันเรามีตัวช่วยที่ทำให้งานง่ายกว่าเดิม ซึ่งก็คือการใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลการขาย คาดการณ์สินค้าคงคลัง และสั่งซื้อสินค้าใหม่ได้อัตโนมัติ ลดปัญหาสินค้าขาดแคลนหรือสินค้าคงคลังมากเกินไป นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีที่เรียกว่า RFID (Radio Frequency Identification) ซึ่งมีบทบาทในการช่วยติดตามสินค้าในคลัง และตรวจสอบสินค้าใกล้หมดอายุ ทำให้สามารถจัดการสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ


3. การใช้ระบบแนะนำสินค้า

บางครั้ง การแนะนำสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละรายก็ช่วยกระตุ้นความอยากซื้อของผู้บริโภคได้มากขึ้น ดังนั้น ธุรกิจจึงสามารถใช้ AI และเทคโนโลยี Deep Learning ในการวิเคราะห์ประวัติการซื้อสินค้า และพฤติกรรมการชอปปิงของลูกค้าได้ โดยจะต้องมีการใช้หน้าจอแสดงสินค้าแบบดิจิทัลร่วมด้วย เพื่อให้สามารถนำเสนอโปรโมชันและข้อมูลสินค้าที่ตรงใจลูกค้ารายนั้น ๆ ผ่านหน้าจอดังกล่าว อันจะนำมาซึ่งโอกาสในการขายที่มากขึ้น


4. การใช้ระบบวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า

วิเคราะห์พฤติกรรมการชอปปิงของลูกค้าเพื่อให้สามารถนำเสนอสินค้าที่ตรงใจได้ไปแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ AI ช่วยธุรกิจได้ คือ การวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นเพศ อายุ ระดับการศึกษา ความชอบส่วนตัว ฯลฯ จากนั้น ธุรกิจสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาพัฒนาแคมเปญการตลาด โปรโมชัน และกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพให้ตรงจุดต่อไปได้ แต่ในส่วนนี้ การจะหาข้อมูลของลูกค้าได้นั้น อาจต้องมีการให้ลูกค้าลงทะเบียนบนแอปพลิเคชันหรือช่องทางออนไลน์ของร้านค้าก่อน ดังนั้น ต้องมีการนำเทคโนโลยีด้านแพลตฟอร์มดิจิทัล หรือเทคโนโลยีที่ช่วยเรื่อง O2O Marketing มาใช้ร่วมด้วย


5. การใช้ระบบแชตบอต (Chatbot) ตอบคำถามลูกค้า

ปัจจุบัน แชตบอตถือเป็นหนึ่งในเทคโนโลยี AI ที่ช่วยธุรกิจได้มาก เพราะไม่ว่าลูกค้าคนไหน ๆ ก็ชอบความรวดเร็วทันใจ ถามไปแล้วก็อยากจะได้คำตอบทันที แต่ข้อจำกัดของผู้ประกอบการคือ บางทีเราก็ไม่สามารถจ้างคนให้มาคอยตอบลูกค้าแบบ 24 ชั่วโมงได้ ดังนั้น แชตบอตจึงจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ ด้วยการตอบคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสินค้า โปรโมชัน และบริการต่าง ๆ ของร้านสะดวกซื้อ ซึ่งสามารถสร้างความประทับใจแก่ลูกค้าได้


กรณีศึกษาการใช้ AI และเทคโนโลยีในร้านสะดวกซื้อจากต่างประเทศ

ร้านสะดวกซื้อในหลายประเทศ เช่น “Amazon Go” ในอเมริกา ได้มีการใช้ระบบการชำระเงินแบบ “Grab & Go” กล่าวคือ เป็นร้านที่ไม่มีแคชเชียร์ แต่จะใช้เทคโนโลยี Computer Vision และระบบเซนเซอร์ในการตรวจจับสินค้าที่ลูกค้าหยิบใส่ตะกร้า แล้วตัดเงินจากบัญชีของลูกค้าแบบอัตโนมัติก่อนออกจากร้าน เรียกได้ว่าสร้างความสะดวกสบายแก่ลูกค้าได้มากทีเดียว


พูดถึงอเมริกาแล้ว จะไม่พูดถึงผู้นำด้านเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างประเทศจีนก็ไม่ได้ อย่าง “BingoBox” ร้านสะดวกซื้อชื่อดังในจีน ก็มีจุดเด่นในเรื่องการใช้ AI เข้ามาช่วยเรื่องระบบการชำระเงินอัตโนมัติแบบไม่มีแคชเชียร์ประจำร้านเช่นกัน ทว่าจะแตกต่างจาก Amazon Go นิดหน่อยตรงที่ไม่ได้ใช้เซนเซอร์ตรวจจับภาพสินค้า แต่ลูกค้าจะต้องนำบาร์โคดสินค้าไปสแกนกับเครื่องชำระเงิน แล้วจ่ายเงินผ่าน WeChat หรือ Alipay ซึ่งเทคนิคนี้ได้เริ่มมีธุรกิจในไทยบางเจ้าเริ่มนำไปปรับใช้แล้ว พบได้มากในซูเปอร์มาร์เกต แต่ร้านสะดวกซื้อหรือร้านค้าปลีกทั่วไปก็สามารถเริ่มใช้ AI นี้กับธุรกิจของตนเองได้เช่นกัน


และถ้าจะให้ล้ำไปกว่านั้น ก็ต้องพูดถึง “Alibaba” ที่ตอนนี้ได้เปิดตัวไฮเปอร์มาร์เกตแห่งอนาคต ชื่อว่า “Store X” ซึ่งถือเป็นโมเดลธุรกิจที่ผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันได้อย่างไร้รอยต่อ โดยร้านค้าแห่งนี้ได้มีการใช้เทคโนโลยี Metaverse เพื่อสร้างประสบการณ์เสมือนจริงแก่ผู้ใช้งาน ให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าบนช่องทางออนไลน์ได้เหมือนกำลังเดินชอปฯ อยู่ที่หน้าร้านจริง ๆ และชำระเงินด้วยการสแกนคิวอาร์โคดผ่านแอปฯ Freshippo ได้เลย


จะเห็นได้ว่าการใช้ AI และเทคโนโลยีในร้านสะดวกซื้อนั้น นอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานหลังบ้านแล้ว ยังช่วยยกระดับประสบการณ์ สร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้า เพราะร้านสามารถอำนวยความสะดวกได้อย่างเต็มที่ ทั้งยังรวดเร็วทันใจ ซึ่งเมื่อลูกค้าเกิดความประทับใจแล้ว ธุรกิจก็จะสามารถสร้างโอกาสทางการขายเพิ่มขึ้นได้อีก


อยากพัฒนาธุรกิจให้ทันสมัย ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เพียงไว้ใจให้เจโนไซส์ดูแล เพราะเรามีบริการเทคโนโลยีและโซลูชันที่พร้อมผลักดันให้คุณเติบโตได้แบบก้าวกระโดด ติดต่อเราได้เลยวันนี้ !

Related Content

ร่วมเปิดกล่องโอกาส
แห่งอนาคตด้วยกัน

Contact

Brief Us

ง่ายและรวดเร็ว
เราจะติดต่อกลับภายใน 24 ชั่วโมง

facebook chat

คุยกับทีมฝ่ายขาย

ให้บริการ จันทร์ถึงศุกร์
9:00 น. - 19:00 น.

mobile

โทรติดต่อฝ่ายขาย

ให้บริการ จันทร์ถึงศุกร์
9:00 น. - 19:00 น.