Fast Fashion กับวิกฤตเบื้องหลังความคุ้มค่าที่คุณอาจมองข้าม
หากจะพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของการตลาดในอุตสาหกรรมแฟชั่นในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา คงไม่มีปรากฏการณ์ใดที่สั่นสะเทือนวงการเท่ากับการเติบโตของ Fast Fashion อีกแล้ว จากแบรนด์เสื้อผ้าที่เคยเปลี่ยนคอลเลกชันตามฤดูกาล กลายเป็นการอัปเดตสินค้าใหม่ทุกสัปดาห์ และจากเสื้อผ้าที่เคยถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้นาน ก็กลายเป็นแฟชั่นที่ถูกผลิตมาเพื่อตอบสนองกระแสชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น เพราะเทร็นด์การแต่งกายนั้นเปลี่ยนกระแสนิยมบ่อยเหลือเกิน
ทว่าในขณะที่ผู้บริโภคกำลังเพลิดเพลินไปกับความสะดวกในการชอปปิงและราคาที่จับต้องได้ กลไกอันน่าตกใจของ Fast Fashion กลับกำลังทำงานอย่างไม่หยุดหย่อนในการทำลายสิ่งแวดล้อมและสังคม เสมือนระเบิดเวลาที่พร้อมจะส่งผลกระทบต่อคนรุ่นต่อไป มาดูกันว่ามีผลอย่างไรบ้าง
Fast Fashion คืออะไร และทำไมถึงเป็นปัญหาระดับโลก ?
Fast Fashion คือ รูปแบบธุรกิจในอุตสาหกรรมแฟชั่นที่มุ่งเน้นการผลิตเสื้อผ้าในปริมาณมหาศาล ด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุด และความรวดเร็วในการผลิตสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามกระแสแฟชั่น
ธุรกิจในรูปแบบนี้เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยมี Fast Fashion Brand ยักษ์ใหญ่อย่าง Zara, H&M, UNIQLO และ Forever 21 เป็นผู้นำในตลาด ด้วยการนำเสนอคอลเลกชันใหม่ ๆ ทุกสัปดาห์ หรือบางครั้งแทบจะทุกวัน แทนที่จะเป็นการออกคอลเลกชันตามฤดูกาลแบบดั้งเดิม
ความจริงที่จะทำให้คุณอึ้งเกี่ยวกับ Fast Fashion
ปริมาณการผลิตที่มหาศาลจนดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่ก็เป็นไปได้
ตัวเลขที่จะกล่าวต่อไปนี้อาจทำให้คุณต้องอ้าปากค้าง นั่นคือ ในทุก ๆ 1 วินาที จะมีเสื้อผ้าถูกทิ้งลงหลุมฝังกลบในปริมาณที่เทียบเท่ากับรถบรรทุก 1 คัน นั่นหมายความว่าในแต่ละวัน มีเสื้อผ้านับล้านชิ้นถูกทิ้งไปอย่างสูญเปล่า และที่น่าตกใจไปกว่านั้น Fast Fashion Brand บางแบรนด์สามารถผลิตคอลเลกชันใหม่ได้มากถึง 52 ครั้งต่อปี หรือเฉลี่ยแล้วสัปดาห์ละหนึ่งคอลเลกชัน
Fast Fashion ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
อุตสาหกรรมแฟชั่นได้กลายเป็นหนึ่งในผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีปริมาณการปล่อย CO2 มากเป็นอันดับ 2 รองจากอุตสาหกรรมน้ำมัน และตัวเลขที่น่าตกใจอีกประการหนึ่งคือ ในการผลิตเสื้อยืดเพียงหนึ่งตัว ต้องใช้น้ำถึง 2,700 ลิตร ซึ่งเทียบเท่ากับปริมาณน้ำดื่มที่มนุษย์คนหนึ่งต้องการในระยะเวลา 2.5 ปี
ที่น่าวิตกไปกว่านั้น เสื้อผ้าสังเคราะห์ที่ผลิตจาก Fast Fashion ได้กลายเป็นแหล่งปล่อยไมโครพลาสติกลงสู่มหาสมุทรที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งทุกครั้งที่เราซักผ้า เส้นใยพลาสติกขนาดเล็กจำนวนมากจะหลุดลอยลงสู่ระบบน้ำ และในที่สุดก็จะไหลลงสู่ทะเล Fast Fashion จึงส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลอย่างรุนแรง
เบื้องหลังความ “คุ้มค่า” ที่อาจมองไม่เห็น
หากนึกถึง Fast Fashion Brand สิ่งแรกที่เข้ามาในหัวคงจะหนีไม่พ้นเรื่องของความคุ้มค่า แต่รู้หรือไม่ว่า Fast Fashion ยังต้นทุนที่ซ่อนอยู่มากมายที่เราอาจมองข้ามไป ต้นทุนเหล่านี้ไม่ได้ถูกสะท้อนในป้ายราคา แต่กลับเป็นภาระที่สังคมและสิ่งแวดล้อมต้องแบกรับ
การใช้แรงงานในประเทศกำลังพัฒนาที่ได้ค่าแรงต่ำกว่ามาตรฐาน
เบื้องหลังราคาถูกของเสื้อผ้า Fast Fashion คือการใช้แรงงานในประเทศกำลังพัฒนาที่ได้รับค่าตอบแทนต่ำกว่ามาตรฐานการครองชีพอย่างมาก คนงานเหล่านี้ต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่อันตราย ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน และได้รับสวัสดิการที่ไม่เพียงพอ บ่อยครั้งที่พบว่ามีการใช้แรงงานเด็กในห่วงโซ่การผลิต สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรมที่ซ่อนอยู่
การปล่อยสารพิษลงแหล่งน้ำจากกระบวนการย้อมผ้า
กระบวนการย้อมผ้าในอุตสาหกรรม Fast Fashion คือหนึ่งในตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดมลพิษทางน้ำ โรงงานจำนวนมากปล่อยน้ำเสียที่ปนเปื้อนสารเคมีอันตรายลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติโดยไม่ผ่านการบำบัดที่เหมาะสม สารเคมีเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำลายระบบนิเวศทางน้ำ แต่ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพของชุมชนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียง หลายพื้นที่ในประเทศผู้ผลิตเสื้อผ้ารายใหญ่ เช่น จีนและบังกลาเทศ มีแม่น้ำที่กลายเป็นสีต่าง ๆ ตามสีย้อมผ้าที่ถูกปล่อยลงมา
การสร้างขยะที่ย่อยสลายไม่ได้จากเส้นใยสังเคราะห์
การผลิตเสื้อผ้าราคาถูกมักใช้เส้นใยสังเคราะห์เป็นหลัก เนื่องจากมีต้นทุนต่ำกว่าเส้นใยธรรมชาติ แต่เส้นใยเหล่านี้ผลิตจากพลาสติกที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ เมื่อเสื้อผ้าเหล่านี้ถูกทิ้งลงหลุมฝังกลบ พวกมันจะคงอยู่เป็นเวลานานนับร้อยปี นอกจากนี้ ในระหว่างการใช้งาน การซักล้างเสื้อผ้าที่ทำจากเส้นใยสังเคราะห์จะปล่อยไมโครพลาสติกลงสู่ระบบน้ำ ซึ่งในที่สุดจะกลายเป็นมลพิษในมหาสมุทร ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหารทั้งระบบ
แล้วเราในฐานะนักธุรกิจจะทำอะไรได้บ้าง ?
ในฐานะผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมแฟชั่น เราสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนได้ ด้วยการปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินธุรกิจในหลายมิติ ดังนี้
การปรับโมเดลธุรกิจสู่ความยั่งยืน
การเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มจากรากฐานของธุรกิจ โดยปรับเปลี่ยนจากโมเดล “ผลิตเร็ว ขายถูก” ของ Fast Fashion ซึ่งเป็นข้อเสีย ไปสู่โมเดลที่เน้นความยั่งยืน เช่น
- พัฒนาระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ในห่วงโซ่อุปทาน
- ใช้วัตถุดิบรีไซเคิลและวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- ลดปริมาณการผลิตแต่เพิ่มคุณภาพและอายุการใช้งานของสินค้า
- สร้างระบบการเช่าเสื้อผ้าหรือแพลตฟอร์มซื้อ-ขายมือสอง
การสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านนวัตกรรม
นวัตกรรม คือตัวแปรสำคัญในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็น
- การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตที่ประหยัดน้ำและพลังงาน
- การวิจัยและพัฒนาวัสดุใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- การใช้เทคโนโลยี AI และ Big Data ในการวางแผนการผลิตให้มีประสิทธิภาพการ
- สร้างระบบติดตามความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน
การปรับกลยุทธ์การตลาด
การสื่อสารและการตลาดต้องปรับเปลี่ยนเพื่อสร้างค่านิยมใหม่ในอุตสาหกรรมแฟชั่น ให้คนนิยม Fast Fashion Brand น้อยลง ดังนี้
- สร้างแบรนด์ที่เน้นความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคม
- ให้ข้อมูลที่โปร่งใสเกี่ยวกับแหล่งที่มาและกระบวนการผลิต
- รณรงค์เรื่องการดูแลรักษาเสื้อผ้าเพื่อยืดอายุการใช้งาน
- สร้างความตระหนักรู้เรื่องผลกระทบของ Fast Fashion และข้อเสียต่าง ๆ
การบริหารความเสี่ยงในระยะยาว
การมองไปข้างหน้าและเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคตเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแฟชั่นที่กำลังเผชิญกับแรงกดดันจากหลายด้าน ธุรกิจจึงต้องมีการวางแผนและเตรียมความพร้อมอย่างรอบด้าน เช่น
- ประเมินและจัดการความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ
- เตรียมพร้อมรับมือกับกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่จะเข้มงวดขึ้น
- สร้างความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืน
- พัฒนาแผนรับมือภาวะวิกฤตและการเปลี่ยนแปลงของตลาด
การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์
ในยุคที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว หลายคนอาจมองว่าเครื่องจักรและระบบอัตโนมัติจะเข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์ แต่ความจริงแล้ว บุคลากรยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมแฟชั่น เพราะการเปลี่ยนผ่านไปสู่แฟชั่นที่ยั่งยืนนั้นต้องอาศัยทั้งความคิดสร้างสรรค์ วิสัยทัศน์ และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องความยั่งยืน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่มีเฉพาะในมนุษย์เท่านั้น ดังนั้น องค์กรจึงควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรในด้านต่าง ๆ ดังนี้
- พัฒนาทักษะและความรู้ด้านความยั่งยืนให้กับพนักงาน
- สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีและเป็นธรรม
- ส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
- เปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วมในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน
การเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจแฟชั่นที่ยั่งยืนต้องอาศัยการลงทุนที่สำคัญในช่วงแรก แต่ผลตอบแทนในระยะยาวคุ้มค่ากับการลงทุน ทั้งในแง่ผลประกอบการและการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง แบรนด์ที่ปรับตัวช้าหรือยังคงยึดติดกับโมเดล Fast Fashion แบบเดิม อาจเสี่ยงต่อการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับคู่แข่งที่ปรับตัวได้เร็วกว่า
อนาคตของวงการแฟชั่นไม่ได้อยู่ที่ความเร็วในการผลิตอีกต่อไป แต่อยู่ที่ความชาญฉลาดในการสร้างสมดุลระหว่างกำไร สังคม และสิ่งแวดล้อม แบรนด์ที่สามารถนำเสนอคุณค่าที่มากกว่าแค่เสื้อผ้าสวย ๆ จะเป็นผู้นำในตลาดยุคใหม่ที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้นทุกวัน
Loading...