MBTI คืออะไร ? แบบทดสอบบุคลิกภาพที่นำมาปรับใช้กับการตลาดได้
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ หลาย ๆ คนน่าจะเคยได้ยินเกี่ยวกับ “MBTI” หรือ Myers-Briggs Type Indicator กันมาบ้าง โดย MBTI คือเครื่องมือที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการทำความเข้าใจบุคลิกภาพของคน ซึ่งแรกเริ่มนั้น MBTI มีชื่อเสียงมาจากกลุ่มวัยรุ่นเกาหลีใต้ แต่อย่างที่รู้ว่าประเทศเกาหลีค่อนข้างมีอิทธิพลต่อไทยในหลาย ๆ ด้านเนื่องมาจากกระแส K-pop ทำให้ MBTI คือแบบทดสอบบุคลิกภาพชิ้นหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากวัยรุ่นชาวไทยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม นอกจากจะใช้วัดบุคลิกภาพเพื่อเอาไปใส่บนไบโอ Instagram, X หรือโซเชียลมีเดียอื่น ๆ แล้ว ช่วงหลังมานี้ MBTI ยังถูกนำมาประยุกต์ใช้ในกลยุทธ์การตลาดสมัยใหม่ เพื่อทำความเข้าใจลูกค้าแต่ละกลุ่มอย่างลึกซึ้งด้วย ! ซึ่งในบทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักให้มากขึ้นว่า MBTI คืออะไร มีอะไรบ้าง พร้อมวิธีการนำมาใช้ในการตลาดเพื่อให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
MBTI คืออะไร ?
MBTI คือ เครื่องมือประเมินบุคลิกภาพที่พัฒนาขึ้นโดย Katharine Cook Briggs และ Isabel Briggs Myers อ้างอิงจากทฤษฎีของ Carl Jung นักจิตวิทยาชาวสวิส โดยมุ่งเน้นการวิเคราะห์ลักษณะนิสัย การรับรู้ และการตัดสินใจของบุคคล ผ่านการพิจารณาแนวโน้มทางจิตวิทยาสี่ด้าน ได้แก่ พลังงาน การรับข้อมูล การตัดสินใจ และวิถีชีวิต
MBTI ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในวงการธุรกิจ การศึกษา และการพัฒนาตนเอง เนื่องจากช่วยให้เข้าใจตนเองและผู้อื่นได้ดีขึ้น สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาความสัมพันธ์ การทำงานเป็นทีม และการเลือกอาชีพได้ ซึ่งในช่วงหลังมานี้ มีนักการตลาดหลายคนได้หยิบ MBTI มาใช้ในการทำการตลาดกันมากขึ้น ซึ่งก็ประสบความสำเร็จด้วย
MBTI มีอะไรบ้าง ?
MBTI มีเกณฑ์ในการแบ่งบุคลิกภาพของคนโดยใช้ 4 มิติหลัก ดังนี้
- Extraversion (E) vs. Introversion (I) คนที่ชอบพบปะผู้คนและสื่อสาร (E) เทียบกับคนที่ชอบความเงียบสงบและมักใช้พลังงานจากภายใน (I)
- Sensing (S) vs. Intuition (N) คนที่ใช้ประสาทสัมผัสในการรับรู้ข้อมูลที่เป็นจริงและรายละเอียด (S) เทียบกับคนที่ใช้สัญชาตญาณและคิดอย่างสร้างสรรค์ (N)
- Thinking (T) vs. Feeling (F) คนที่ตัดสินใจโดยใช้เหตุผลและตรรกะ (T) เทียบกับคนที่ใช้ความรู้สึกและค่านิยมส่วนตัวในการตัดสินใจ (F)
- Judging (J) vs. Perceiving (P) คนที่ชอบการวางแผนและมีระเบียบ (J) เทียบกับคนที่ยืดหยุ่นและปรับตัวได้ตามสถานการณ์ (P)
จากการรวมกันของมิติเหล่านี้ จะได้ผลลัพธ์เป็นบุคลิกภาพทั้งหมด 16 แบบ ได้แก่
- ISTJ นักปฏิบัติที่มุ่งมั่นและมีความรับผิดชอบ
- ISFJ ผู้พิทักษ์ที่เอาใจใส่และซื่อสัตย์
- INFJ ผู้ให้คำปรึกษาที่มีวิสัยทัศน์และใส่ใจผู้อื่น
- INTJ นักวางกลยุทธ์ที่มีความคิดสร้างสรรค์และมุ่งมั่น
- ISTP นักหัตถการที่ชำนาญและชอบแก้ปัญหา
- ISFP นักสร้างสรรค์ที่มีความอ่อนไหวและอิสระ
- INFP นักอุดมคติที่มีจินตนาการและหลงใหลในความเชื่อ
- INTP นักคิดที่มีความคิดเป็นระบบและชอบวิเคราะห์
- ESTP นักปฏิบัติที่กล้าหาญและมีพลัง
- ESFP นักบันเทิงที่ร่าเริงและชอบเข้าสังคม
- ENFP ผู้สร้างแรงบันดาลใจที่มีพลังและชอบผจญภัย
- ENTP นักคิดเชิงนวัตกรรมที่มีความคิดรวดเร็วและชอบท้าทาย
- ESTJ ผู้จัดการที่มีความรับผิดชอบและมุ่งมั่น
- ESFJ ผู้ดูแลที่อบอุ่นและชอบช่วยเหลือผู้อื่น
- ENFJ ผู้สร้างแรงบันดาลใจที่ใส่ใจและมีความคิดลึกซึ้ง
- ENTJ ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และมุ่งมั่นในการสร้างความสำเร็จ
การประยุกต์ใช้ MBTI ในการตลาด
การนำ MBTI มาประยุกต์ในการตลาดสามารถทำได้หลากหลายแนวทาง โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความแตกต่างและเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสาร ตลอดจนพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงใจกลุ่มเป้าหมายให้มากขึ้น ดังนี้
การแบ่งส่วนตลาด (Market Segmentation)
MBTI คือเครื่องมือที่ช่วยในการแบ่งกลุ่มลูกค้าออกเป็นกลุ่มย่อยตามบุคลิกภาพ ทำให้สามารถเจาะจงกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มได้ดียิ่งขึ้น เช่น การเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงกับค่านิยมและความชอบของแต่ละบุคลิกภาพ
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Development)
การเข้าใจ MBTI จะช่วยให้คุณสามารถพัฒนาสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละบุคลิกภาพได้อย่างแม่นยำ เช่น การออกแบบฟีเจอร์หรือประโยชน์ที่ตอบโจทย์เฉพาะของกลุ่มลูกค้าแต่ละกลุ่ม
การสื่อสารการตลาด (Marketing Communication)
MBTI สามารถนำมาใช้ในการปรับแต่งข้อความและวิธีการสื่อสารให้ตรงกับรูปแบบการรับรู้และความสนใจของกลุ่มเป้าหมายได้ เช่น การสื่อสารที่เน้นความรู้สึกและอารมณ์สำหรับกลุ่ม Feeling (F) หรือการสื่อสารที่ตรงไปตรงมาสำหรับกลุ่ม Thinking (T)
การออกแบบประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience Design)
การรู้จักบุคลิกภาพของลูกค้าจะช่วยให้สามารถออกแบบประสบการณ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น เช่น การให้บริการที่รวดเร็วและมีระเบียบสำหรับกลุ่ม Judging (J) หรือการให้ความยืดหยุ่นในการเลือกสำหรับกลุ่ม Perceiving (P)
การสร้างคอนเทนต์ (Content Creation)
การใช้ MBTI ในการสร้างคอนเทนต์สามารถช่วยให้เนื้อหาเหมาะสมและดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น เช่น การสร้างคอนเทนต์ที่เล่าเรื่องราวและสร้างแรงบันดาลใจสำหรับกลุ่ม Intuition (N) หรือเนื้อหาที่เน้นข้อมูลและข้อเท็จจริงสำหรับกลุ่ม Sensing (S)
ตัวอย่างแคมเปญการตลาดที่ใช้ MBTI มีอะไรบ้าง ?
- Starbucks Korea เปิดตัวแคมเปญที่นำเสนอเครื่องดื่มที่เหมาะสมกับแต่ละประเภท MBTI โดยแนะนำเมนูเครื่องดื่มที่สอดคล้องกับบุคลิกภาพของแต่ละคน ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่ามีเครื่องดื่มที่ “ออกแบบมาเพื่อพวกเขา” โดยเฉพาะ
- Olive Young แบรนด์เครื่องสำอางและสกินแคร์จากเกาหลี ได้จัดทำคู่มือแนะนำผลิตภัณฑ์ตามประเภท MBTI เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับบุคลิกภาพและความต้องการเฉพาะของพวกเขา สร้างความเชื่อมั่นและความพึงพอใจในการซื้อ
- Kakao Friends แบรนด์แฟชั่นและไลฟ์สไตล์แครักเตอร์ สร้างคอลเล็กชันสินค้าที่มีธีมเกี่ยวกับ MBTI โดยแต่ละตัวละครจะมีบุคลิกที่สอดคล้องกับประเภท MBTI ต่าง ๆ ทำให้แฟนคลับสามารถเลือกสินค้าที่ตรงกับบุคลิกภาพของตนเอง หรือเป็นของขวัญสำหรับผู้อื่นได้
ข้อดีและข้อควรระวังของการใช้ MBTI ในการตลาด
ข้อดีของ MBTI คืออะไร ?
เข้าใจลูกค้าได้ลึกซึ้งมากขึ้น
MBTI คือเครื่องมือที่ช่วยให้แบรนด์สามารถวิเคราะห์และเข้าใจบุคลิกภาพและพฤติกรรมของลูกค้าได้ในเชิงลึก ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
สามารถสร้างกลยุทธ์การตลาดที่เฉพาะเจาะจงได้มากขึ้น
การใช้ MBTI ช่วยให้แบรนด์สามารถปรับกลยุทธ์การตลาดให้ตรงกับกลุ่มลูกค้าแต่ละประเภทได้ เช่น การเลือกช่องทางการสื่อสารและเนื้อหาที่เหมาะสม ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงและกระตุ้นยอดขาย
สร้างการมีส่วนร่วมและความผูกพันกับแบรนด์ได้ดี
การเชื่อมโยงแคมเปญกับบุคลิกภาพของลูกค้าผ่าน MBTI ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจพวกเขา ซึ่งช่วยสร้างความสัมพันธ์และความผูกพันระหว่างลูกค้าและแบรนด์ได้อย่างมีนัยสำคัญ
ข้อควรระวังในการใช้ MBTI คืออะไร ?
MBTI อาจไม่สามารถอธิบายบุคลิกภาพได้ครอบคลุมทั้งหมด
แม้ว่า MBTI จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ก็ไม่ได้ครอบคลุมทุกแง่มุมของบุคลิกภาพขนาดนั้น ซึ่งอาจทำให้แบรนด์พลาดการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีลักษณะเฉพาะที่ไม่ได้ถูกกล่าวถึงใน MBTI ได้
บางคนอาจรู้สึกว่าถูกจำกัดหรือตีกรอบมากเกินไป
การจัดกลุ่มบุคลิกภาพตาม MBTI อาจทำให้ลูกค้าบางคนรู้สึกว่าตนเองถูกตีกรอบ ซึ่งอาจลดความยืดหยุ่นในการเลือกสินค้าหรือบริการ
อาจเกิดการเหมารวมหรือตีความผิดพลาดได้
การใช้ MBTI ในการทำการตลาดอาจนำไปสู่การเหมารวมและการตีความผิดพลาด เช่น การสมมติว่าลูกค้าทุกคนในกลุ่มบุคลิกภาพเดียวกันจะมีความต้องการเหมือนกัน ซึ่งอาจทำให้การตลาดไม่ได้ผลตามที่คาดหวัง
การนำ MBTI มาใช้ในการตลาด แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้งและสร้างสรรค์กลยุทธ์ที่เฉพาะเจาะจง แม้ว่าจะมีข้อจำกัดบางประการ แต่การใช้ MBTI คือการเปิดโอกาสใหม่ ๆ ในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคลได้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการใช้ MBTI อย่างสมดุลและรอบคอบ โดยไม่ลืมว่าแต่ละคนมีความซับซ้อนและไม่สามารถจำกัดอยู่ในกรอบใดกรอบหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์ นักการตลาดควรใช้ MBTI เป็นเครื่องมือเสริมร่วมกับวิธีการอื่นๆ เพื่อสร้างกลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงลูกค้าได้อย่างแท้จริง