Hyper-Personalization คืออะไร ? อยากเข้าใจลูกค้าต้องเรียนรู้
การที่เทคโนโลยีมีบทบาทอย่างมากในปัจจุบัน ย่อมนำมาซึ่งความสำคัญของ “ข้อมูล (Data)” โดยเฉพาะในด้านการตลาด เพราะการเข้าถึงความต้องการของลูกค้าแบบเฉพาะเจาะจง รวมถึงการสร้างประสบการณ์ที่ดีได้กลายมาเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยให้แบรนด์สามารถสร้างความได้เปรียบในสนามแข่งขัน และนี่คือที่มาของแนวคิด “Hyper-Personalization” ซึ่งกำลังเป็นเทร็นด์มาแรงในยุค Marketing 6.0 นี้
Hyper-Personalization คืออะไร ?
Hyper-Personalization คือ การยกระดับแนวคิดของ Personalized Marketing ไปอีกขั้น โดยเป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบการตลาดให้สอดคล้องกับผู้บริโภคแต่ละรายอย่างละเอียดอ่อน ไม่เพียงแค่นำเสนอสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าเท่านั้น แต่ยังต้องสร้างประสบการณ์ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับการใส่ใจเป็นพิเศษด้วย ซึ่งกลยุทธ์นี้จะอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจากพฤติกรรมและความสนใจของลูกค้า เพื่อนำเสนอเนื้อหา ผลิตภัณฑ์ หรือบริการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับลูกค้าแต่ละราย ณ เวลาที่เหมาะสมและผ่านช่องทางที่ลูกค้าชื่นชอบ
การนำเทคโนโลยีมาใช้ใน Hyper-Personalization
การทำ Hyper-Personalization ให้ประสบความสำเร็จนั้น จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ทันสมัยหลายอย่างประกอบกัน เช่น
AI และ Machine Learning
\AI และ Machine Learning เป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล เพื่อหาแพตเทิร์นและทำนายพฤติกรรมของลูกค้า ช่วยให้แบรนด์สามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละรายได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว
Big Data
Big Data ช่วยให้องค์กรสามารถรวบรวมและจัดการข้อมูลจากหลากหลายแหล่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งข้อมูลจากการทำธุรกรรม ข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย และข้อมูลจากการใช้งานเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน
Internet of Things (IoT)
IoT ช่วยให้คุณสามารถเก็บข้อมูลจากอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ประโยชน์ของ Hyper-Personalization คืออะไร ?
เพิ่มความพึงพอใจและการรักษาลูกค้า
เมื่อลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ตรงกับความต้องการของตนเอง พวกเขาก็จะรู้สึกประทับใจและมีแนวโน้มที่จะกลับมาใช้บริการซ้ำ รวมถึงบอกต่อแก่คนใกล้ตัวด้วย
เพิ่มโอกาสในการขาย
การนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะสม จะช่วยเพิ่มอัตราการคลิกและการซื้อสินค้าได้มากขึ้น
สร้างความแตกต่างในการแข่งขัน
ในยุคที่ผู้บริโภคมีทางเลือกมากมาย และแต่ละแบรนด์ก็ทำการตลาดคล้าย ๆ กันหมด การสร้างประสบการณ์อันเป็นเอกลักษณ์จะช่วยให้คุณโดดเด่นจากคู่แข่งและเป็นที่หนึ่งในใจลูกค้าได้
ปรับปรุงประสิทธิภาพทางการตลาด
การทำ Hyper-Personalization จะช่วยลดการสูญเสียงบประมาณในการทำการตลาดที่ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ตลอดจนเพิ่ม ROI ของแคมเปญการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีการทำ Hyper-Personalization
รวบรวมข้อมูลลูกค้าจากหลากหลายแหล่ง
เก็บข้อมูลจากทุกจุดสัมผัส (Touchpoint) ของลูกค้า ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เช่น เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน โซเชียลมีเดีย การทำธุรกรรมในร้านค้า ฯลฯ
สร้างโพรไฟล์ลูกค้าโดยใช้ข้อมูลพื้นฐาน
นำข้อมูลที่รวบรวมได้ ไม่ว่าจะเป็นอายุ เพศ ที่อยู่ หรือประวัติการซื้อสินค้า มาสร้างโพรไฟล์ของลูกค้าแต่ละราย
ใช้ AI และ Machine Learning วิเคราะห์ข้อมูลและทำนายพฤติกรรมของลูกค้า
นำข้อมูลพร้อมโพรไฟล์ทั้งหมดมาวิเคราะห์ด้วย AI และ Machine Learning เพื่อหาแพตเทิร์นและทำนายพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าในอนาคต
นำข้อเสนอและเนื้อหาที่ได้จากการวิเคราะห์ไปทดลองใช้
ออกแบบแคมเปญการตลาดที่ปรับแต่งตามผลการวิเคราะห์ แล้วนำไปทดลองใช้กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จากนั้นให้คอยติดตามผลลัพธ์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อนำมาพัฒนาในการสร้างแคมเปญครั้งถัดไป
ตัวอย่างการใช้ Hyper-Personalization ในธุรกิจ
Email Marketing
การทำ Hyper-Personalization ใน Email Marketing ไม่ใช่แค่การใส่ชื่อลูกค้าในหัวเรื่องอีเมลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการปรับแต่งเนื้อหาและข้อเสนอให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละรายด้วย เช่น
- ส่งอีเมลแนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ลูกค้าเคยซื้อหรือเคยค้นหาในเว็บไซต์
- ปรับเปลี่ยนเวลาในการส่งอีเมลตามพฤติกรรมการเปิดอีเมลของลูกค้าแต่ละคน
- สร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับความสนใจของลูกค้า เช่น บทความเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพสำหรับลูกค้าที่สนใจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ
- ปรับแต่งข้อเสนอและส่วนลดตามประวัติการซื้อและมูลค่าการใช้จ่ายของลูกค้า
Mobile App Marketing
แอปพลิเคชันบนมือถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญในการเข้าถึงลูกค้า การทำ Hyper-Personalization บนแอปฯ จึงจะสามารถช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้และอัตราการซื้อสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถทำได้ดังนี้
- ส่งการแจ้งเตือนเกี่ยวกับโปรโมชันพิเศษเมื่อลูกค้าอยู่ใกล้ร้านค้าหรือสาขาของแบรนด์
- ปรับแต่งหน้าแรกของแอปพลิเคชันให้แสดงสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้แต่ละคน
- ส่งข้อเสนอพิเศษในช่วงเวลาที่ลูกค้ามักจะใช้งานแอปพลิเคชัน
- แนะนำเนื้อหาหรือฟีเจอร์ใหม่ ๆ ของแอปพลิเคชันตามพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคน
E-commerce
ธุรกิจ E-commerce สามารถใช้ประโยชน์จาก Hyper-Personalization ได้อย่างเต็มที่ เพื่อเพิ่มยอดขายและสร้างประสบการณ์การชอปปิงที่น่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นการ
- แสดงสินค้าแนะนำบนหน้าเว็บไซต์ตามประวัติการเรียกดูและการซื้อสินค้าของลูกค้า
- ปรับแต่งหน้า Landing Page ให้แสดงโปรโมชันหรือหมวดหมู่สินค้าที่ตรงกับความสนใจของผู้เข้าชม
- แนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้องในหน้ารายละเอียดสินค้าหรือในตะกร้าสินค้า โดยอ้างอิงจากพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าคนอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายกัน
- ส่งอีเมลแจ้งเตือนเมื่อสินค้าที่ลูกค้าเคยดูกลับมามีสต็อกหรือมีการลดราคา
- ปรับแต่งข้อความและรูปภาพในแบนเนอร์โฆษณาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม
Hyper-Personalization คือ การทำการตลาดที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง โดยเน้นการนำเสนอเนื้อหาและข้อเสนอที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย ด้วยการใช้เทคโนโลยี AI, Machine Learning และ Big Data ทำให้สามารถทำการตลาดที่เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับการใส่ใจและมีประสบการณ์ที่ดีในการใช้บริการหรือสินค้าของแบรนด์ การใช้ Hyper-Personalization จึงเป็นอีกหนึ่งเทคนิคการตลาด 6.0 ที่จะทำให้ธุรกิจสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า และสร้างความสำเร็จในระยะยาวอย่างมั่นคง