5 เทรนด์แคมเปญการตลาดน่ารู้ ของสินค้า FMCG/Beverage ทั่วโลก
ในยุคดิจิทัลที่อะไร ๆ ต่างก็รวดเร็วไปหมด ผู้คนต้องใช้ชีวิตแข่งกับเวลา ไม่เว้นแม้แต่การทำธุรกิจ ที่ผู้ประกอบการต้องหมั่นคิดค้นและปรับกลยุทธ์การตลาดของตนเองให้ทันสมัย และดึงดูดกลุ่มเป้าหมายในยุคปัจจุบันให้ได้อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคที่ซื้อมาขายไปอย่างรวดเร็วอย่าง FMCG (Fast-Moving Consumer Goods) ในหมวดเครื่องดื่ม (Beverage) ซึ่งมีแบรนด์ SME ใหม่ ๆ ถือกำเนิดขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งเทรนด์สังคมยังเปลี่ยนไปแทบจะทุกวัน ทำให้การที่อยู่มานาน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยั่งยืนหรือชนะแบรนด์ใหม่เสมอไป ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องเข้าใจกระบวนการสร้าง Creative Campaign ที่เรากำลังจะบอกต่อไปนี้ !
มาดูกันว่า “5 เทรนด์แคมเปญการตลาดสำหรับสินค้า FMCG/Beverage” ในช่วงปี 2024 นี้ โดยการรวบรวมข้อมูลจากธุรกิจในอุตสาหกรรมดังกล่าวทั่วโลกมีอะไรบ้าง !
5 เทรนด์แคมเปญการตลาดสำหรับสินค้า FMCG/Beverage ปี 2024
1. มุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์ของผู้บริโภค
หมดยุคขายของชนิดที่ว่าเอาแต่ขายอย่างเดียวแล้ว สมัยนี้ แบรนด์ต้องให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่ผู้บริโภคจะได้รับเป็นหลัก กล่าวคือ การสร้างสรรค์ Creative Campaign ที่สนุกสนาน น่าจดจำ ตลอดจนกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมและการบอกต่อ
ตัวอย่าง Creative Campaign เช่น แคมเปญ “Share a Coke” ของ Coca-Cola เมื่อปี 2014 ที่มีการนำชื่อเล่นยอดนิยมมาพิมพ์ลงบนสลากขวดและกระป๋อง เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จสุด ๆ ทั้งบนช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เพราะมีผู้บริโภคจำนวนมากแห่ไปซื้อโค้กที่สกรีนชื่อตัวเอง หรือแม้แต่ซื้อไปให้เพื่อน แฟน หรือคนในครอบครัวที่มีชื่อเดียวกันกับที่ปรากฏบนบรรจุภัณฑ์ พร้อมถ่ายรูปลงโซเชียลมีเดียเพื่อทำคอนเทนต์ ถือว่าได้สร้างทั้งการรับรู้ (Brand Awareness) ทั้งการบอกต่อแบบปากต่อปาก (Word of Mouth) แถมยังได้สร้างประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นแก่ผู้บริโภคที่ได้เห็นชื่อตัวเองอยู่บนขวดหรือกระป๋องเครื่องดื่มชื่อดังอีกด้วย
2. ใช้ประโยชน์จาก Influencer Marketing
การตลาดในปัจจุบัน แค่แบรนด์โปรโมตเองอย่างเดียวอาจไม่พอ แต่ต้องพึ่งพาอิทธิพลของผู้มีชื่อเสียงด้วย หรือที่เรียกว่าการทำ Influencer Marketing นั่นเอง โดยการเลือกคนดังที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์ และกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคให้มากขึ้น
ตัวอย่าง Creative Campaign เช่น แคมเปญ “Starbucks x BLACKPINK” ที่นอกจากทางแบรนด์จะใช้เกิร์ลกรุประดับโลกมาเป็นพรีเซนเตอร์แล้ว ยังผลิตสินค้าคอลเลกชัน BLACKPINK ออกมาให้เหล่าแฟนคลับได้เก็บสะสมกันด้วย ซึ่งเวลาที่ทั้ง 4 สาวมาไลฟ์คุยกับแฟน ๆ ก็จะถือแก้ว Starbucks คอลเลกชันดังกล่าวไว้แบบเนียน ๆ โดยไม่ต้องขายของมาก แต่คนที่เห็นก็พร้อมจะซื้อตามทันทีตั้งแต่สินค้ายังไม่วางขาย เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์เช่นเดียวกัน เพราะบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่วางขายสินค้าก็หมดตั้งแต่ 10 นาทีแรก ส่วนที่หน้าร้านก็มีคนไปต่อคิวรอซื้อยาวเหยียดตั้งแต่ห้างฯ ยังไม่เปิด !
3. เน้นความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคม
เนื่องจากภาวะโลกร้อนและภัยธรรมชาติต่าง ๆ มีผลกระทบต่อโลกของเรามากขึ้นทุกวัน ทำให้ประชาชนทุกคนต้องตระหนักถึงประเด็นนี้กว่าปีที่ผ่าน ๆ มา ดังนั้น ผู้บริโภคยุคใหม่จึงมักให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่มีจุดยืนในการรับผิดชอบต่อสังคม สร้างสรรค์แคมเปญที่มุ่งเน้นไปที่การลดมลพิษ ใช้วัสดุรีไซเคิล หรือนำกำไรบางส่วนไปช่วยเหลือสังคม ซึ่งการทำเช่นนี้จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แบรนด์ และเป็นการทำ PR ไปในตัวด้วย
ตัวอย่าง Creative Campaign เช่น แบรนด์ “JUST Water” ธุรกิจน้องใหม่ในวงการ FMCG/Beverage ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากความตระหนักถึงขยะในทะเล เจ้าของแบรนด์จึงมีความตั้งใจที่อยากจะพัฒนาสินค้าที่ลดการใช้พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง (Single-use Plastic) จึงผลิตเป็นแบรนด์น้ำดื่มที่บรรจุในขวดกระดาษ ซึ่งเป็นกระดาษจากต้นไม้ที่ตัดมาอย่างถูกกฎหมาย ผสมผสานกับไบโอพลาสติก หรือพลาสติกชีวภาพจากพืช การประกาศจุดยืนด้านสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน ตอบโจทย์ผู้บริโภคสมัยใหม่ ทำให้แบรนด์ใช้เวลาเพียง 4 ปี ก็ได้รับการประเมินมูลค่าแบรนด์แตะ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3,300 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดที่น่าทึ่ง
4. ผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ (O2O Marketing)
จริงอยู่ที่ว่าสมัยนี้ การตลาดออนไลน์เป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะทิ้งการตลาดแบบดั้งเดิมหรือการตลาดออฟไลน์ไปเสียทีเดียว เพราะถึงอย่างไรก็ยังมีผู้บริโภคที่ชอบซื้อสินค้าที่หน้าร้านอยู่ ดังนั้น แคมเปญการตลาดที่มีประสิทธิภาพ จึงควรมีการผสานช่องทางการตลาดแบบออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ ซึ่งแคมเปญลักษณะนี้ ธุรกิจจำนวนมากจะใช้บริการ Digital Agency เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลลัพธ์ให้สูงสุด
ตัวอย่าง Creative Campaign เช่น Oishi Green Tea ผู้นำ FMCG/Beverage ในหมวดหมู่ตลาดชาเขียว ออกแบบแคมเปญแบบ O2O เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับ “คาเทชิน” สารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในชาเขียว เนื่องจากเป็นความรู้ที่คนไทยส่วนมากยังไม่คุ้นเคย โดยทางแบรนด์ได้มีการใช้กลยุทธ์ที่ดึงความสนใจและกระตุ้นให้ผู้บริโภคอยากรู้ว่าคาเทชินคืออะไร จากนั้นก็แปะ QR Code เอาไว้ผ่านช่องทางต่าง ๆ ให้ผู้บริโภคมาสแกน แล้วลิงก์ไปยังหน้าเพจ Oishi
5. ใช้กลยุทธ์ Gamification
Gamification คือกลยุทธ์การออกแบบแคมเปญการตลาดให้ดูเหมือนการเล่นเกม โดยมักจะเป็นการชักชวนให้ผู้บริโภคมาทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกับแบรนด์เพื่อสร้างความสนุกสนาน เช่น กิจกรรมหมุนวงล้อชิงโชค การสะสมแต้มเพื่อรับรางวัล ฯลฯ นอกจากจะเป็นกลยุทธ์ที่แปลกใหม่แล้ว ยังทำให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ได้ง่ายขึ้น และมีโอกาสเพิ่มยอดขายได้มากกว่าเดิมเพราะลูกค้าอยากมีส่วนร่วมกับกิจกรรมสนุก ๆ ด้วย
ตัวอย่าง Creative Campaign เช่น แคมเปญ “Red Bull Summer Memory” ของกระทิงแดง FMCG/Beverage สัญชาติไทย ซึ่งเป็นแคมเปญเปลี่ยนข้อมูลใบเสร็จให้เป็นเกม โดยกระตุ้นให้ผู้บริโภคซื้อเครื่องดื่มของแบรนด์ พร้อมอัปโหลดใบเสร็จแสดงหลักฐานบนช่องทางที่กำหนด ยิ่งอัปโหลดมากเท่าไร ก็จะยิ่งมีโอกาสลุ้นรับรางวัลมากขึ้นเท่านั้น โดยแคมเปญนี้ประสบความสำเร็จในการรวบรวมใบเสร็จจากผู้บริโภคที่ร่วมเล่นเกมดังกล่าวได้มากกว่า 25,000 บิลเลยทีเดียว
ทั้งนี้ การวางกลยุทธ์ Creative Campaign ตามเทรนด์ที่กล่าวมาข้างต้น จะช่วยให้แบรนด์ FMCG/Beverage มีภาพลักษณ์ที่ทันสมัย กระตุ้นการมีส่วนร่วมจากผู้บริโภคได้มากขึ้น ตลอดจนสามารถสร้างการรับรู้ในวงกว้างได้อย่างยั่งยืน
อยากทำการตลาดให้ปัง แต่ไม่รู้จะใช้กลยุทธ์ไหนดีที่เหมาะกับธุรกิจ ที่เจโนไซส์ เราคือ Digital Agency ที่ประกอบไปด้วยทีมที่ปรึกษาเชิงยุทธศาสตร์ ที่เชี่ยวชาญด้านการวิจัย ประเมินผล และวิเคราะห์ข้อมูล พร้อมให้คำปรึกษาเชิงยุทธศาสตร์และการบริหารจัดการแก่ธุรกิจคุณ ให้เราร่วมสร้างเส้นทางสู่อนาคตไปกับคุณได้เลยวันนี้ !