รู้จัก Cialdini Principle 7 กลยุทธ์จิตวิทยาโน้มน้าวใจลูกค้า
เชื่อว่าผู้ประกอบการ หรือแม้แต่พนักงานขายหลายคนคงเคยรู้สึกว่า การจะขายสินค้าหรือบริการหนึ่ง ๆ ให้สำเร็จลุล่วงนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะกว่าจะทำให้ลูกค้าหันมาสนใจแบรนด์ กว่าจะทำให้พวกเขารับรู้ข้อมูลอย่างถ่องแท้ กว่าจะยอมซื้อ ยอมจ่ายเงิน ฯลฯ ทุกกระบวนการล้วนใช้เวลาและความพยายาม ดังนั้น Robert Cialdini ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาและการตลาด จึงได้พัฒนาหลักการที่เรียกว่า “Cialdini Principle” หรือ “หลักการโน้มน้าวใจ 7 ประการ” ซึ่งอธิบายถึงปัจจัยทางจิตวิทยาที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้คน โดยหลักการเหล่านี้ นักการตลาดและพนักงานขายสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการทำความเข้าใจและโน้มน้าวลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มาดูกันว่าหลักการทั้ง 7 ข้อมีอะไรบ้าง และจะสามารถนำไปใช้ให้เหมาะสมได้อย่างไร
หลักสำคัญ 7 ข้อของ Cialdini Principle ที่จะช่วยให้คุณโน้มน้าวใจลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
1. หลักการแลกเปลี่ยน (Reciprocity)
หลักการแลกเปลี่ยน เป็นหนึ่งในกฎที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้วในหลายธุรกิจว่ามีประสิทธิภาพมากที่สุดในการใช้โน้มน้าวใจลูกค้า โดยหลักการนี้จะตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า เมื่อเราได้รับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากผู้อื่นมา เรามักจะรู้สึกว่าต้องตอบแทนกลับไปเสมอ ในบริบทของการตลาดและการขายก็เช่นกัน กล่าวคือ เมื่อเราให้บางสิ่งบางอย่างแก่ลูกค้าก่อน ก็จะสามารถสร้างความรู้สึกที่ดีและเพิ่มโอกาสในการขายได้
ตัวอย่างการนำไปใช้ :
ร้านอาหารญี่ปุ่นแจกซูชิฟรีคนละ 1 คำให้ลูกค้าทุกคนที่เข้าร้าน ทำให้ลูกค้ารู้สึกอยากสั่งอาหารเพิ่ม
บริษัทซอฟต์แวร์ให้ทดลองใช้โปรแกรมฟรี 30 วันแบบไม่มีข้อผูกมัด ทำให้ผู้ใช้รู้สึกคุ้นเคยและอยากซื้อต่อ
2. หลักการขาดแคลน (Scarcity)
มนุษย์เรามักให้คุณค่ากับสิ่งที่หายากหรือมีจำนวนจำกัด หลักการขาดแคลนจึงใช้ประโยชน์จากจิตวิทยานี้เพื่อกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อ โดยเมื่อลูกค้ารู้สึกว่าโอกาสกำลังจะหมดไป พวกเขาก็จะตัดสินใจเร็วขึ้นเพื่อไม่ให้พลาดโอกาสที่จะได้ครอบครองสินค้าหายากนั้น ๆ เช่นเดียวกับพวกตุ๊กตาลาบูบู้ หรือครายเบบี้ที่ลูกค้าต่างแย่งกันซื้อทุกครั้งที่แบรนด์เพิ่มสต็อกนั่นเอง แต่การใช้หลักการนี้ควรทำอย่างซื่อสัตย์และไม่สร้างความกดดันมากจนเกินไป เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของแบรนด์ด้วย
ตัวอย่างการนำไปใช้ :
- แบรนด์รองเท้าผลิตรุ่นพิเศษจำนวนจำกัดเพียง 1,000 คู่ทั่วโลก กระตุ้นให้แฟน ๆ รีบซื้อ
- ร้านอาหารเสนอส่วนลด 50% เฉพาะ 100 ท่านแรกที่จองผ่านแอปฯ ทำให้ลูกค้าต้องรีบตัดสินใจ
3. หลักการเป็นผู้เชี่ยวชาญ (Authority)
โดยทั่วไป ลูกค้ามักเชื่อถือและทำตามคำแนะนำของผู้ที่มีความรู้เฉพาะทางในด้านนั้น ๆ อยู่แล้ว ดังนั้น การแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญของแบรนด์จะสามารถช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและโน้มน้าวลูกค้าได้มาก แต่หลักการนี้ต้องอาศัยเวลาและความทุ่มเทเป็นพิเศษ จึงจะสามารถสร้างความไว้วางใจจากลูกค้าในระยะยาวได้
ตัวอย่างการนำไปใช้ :
- คลินิกทันตกรรมแสดงวุฒิบัตรและรางวัลของทันตแพทย์ทุกคนบนเว็บไซต์ เพื่อสร้างความเป็นมืออาชีพ
- บริษัทเครื่องสำอางใช้นักวิทยาศาสตร์ผิวหนังชื่อดังเป็นที่ปรึกษาและพรีเซนเตอร์ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์
4. หลักความชอบ (Liking)
หากคุณเคยมีคนที่ชอบในลักษณะที่ยึดถือเป็นไอดอล หรือเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตแล้ว เคยสังเกตตัวเองกันไหมว่า คุณมักจะเชื่อและทำตามคนที่คุณชอบอยู่เสมอ ๆ ซึ่งหลักการนี้ใช้ได้กับผู้บริโภคส่วนใหญ่ได้เช่นกัน กล่าวคือ เป็นการเน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า และทำให้พวกเขารู้สึกว่าแบรนด์ของคุณมีความเข้าใจและเป็นมิตร กระทั่งเกิดเป็นความรู้สึกชื่นชอบและประทับใจในแบรนด์ จนรู้สึกอยากจะอุดหนุนสินค้าหรือบริการในที่สุด
ตัวอย่างการนำไปใช้ :
- แบรนด์เสื้อผ้าใช้นักแสดงที่มีภาพลักษณ์เฟรนด์ลีเป็นพรีเซนเตอร์ สร้างความรู้สึกใกล้ชิดกับลูกค้า
- ร้านอาหารท้องถิ่นใช้ภาษาถิ่นในการสื่อสารกับลูกค้า สร้างความรู้สึกเป็นกันเอง
5. หลักการพิสูจน์ทางสังคม (Social Proof)
ไม่ว่าผู้บริโภคคนไหนก็คงต้องการมองหาการยืนยันจากผู้อื่นก่อนตัดสินใจซื้ออะไรบางอย่างเสมอ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ไม่แน่ใจ ดังนั้น การแสดงให้เห็นว่าผู้ใช้จริงคนอื่น ๆ ยอมรับและพอใจกับสินค้าหรือบริการของแบรนด์คุณแค่ไหนนั้น จะสามารถเพิ่มความมั่นใจแก่ลูกค้าใหม่ได้ แต่ควรใช้รีวิวที่เป็นจริงและน่าเชื่อถือ เพื่อรักษาความไว้วางใจของลูกค้า
ตัวอย่างการนำไปใช้ :
- แอปพลิเคชันเรียนภาษาแสดงจำนวนผู้ใช้งานทั่วโลกบนหน้าแรก แสดงให้เห็นว่าเป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมจริง
- ร้านอาหารติดรูปคนดังที่มารับประทานอาหารที่ร้านบนผนัง แสดงให้เห็นว่าแม้แต่คนดังยังให้ความไว้วางใจ
6. หลักความสม่ำเสมอ (Consistency)
ในหลาย ๆ การกระทำและความคิดของคนเรานั้นล้วนต้องมีความสอดคล้องกัน กฎข้อนี้จึงใช้ประโยชน์จากจิตวิทยาดังกล่าวด้วยการชักจูงให้ลูกค้าทำการตัดสินใจในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน แล้วค่อย ๆ นำไปสู่การตัดสินใจที่ใหญ่ขึ้น แต่หลักการนี้ควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปและไม่สร้างความกดดัน เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าเป็นการตัดสินใจของตนเอง
ตัวอย่างการนำไปใช้ :
- เว็บไซต์ขายเสื้อผ้าให้ผู้ใช้สร้างโพรไฟล์สไตล์การแต่งตัว ก่อนแนะนำสินค้าที่เหมาะสมให้
- บริษัทประกันขอให้ลูกค้าตอบแบบสอบถามสั้น ๆ เกี่ยวกับความสำคัญของการวางแผนการเงิน ก่อนนำเสนอแผนประกันที่สอดคล้องกัน
7. หลักความเป็นเอกภาพ (Unity)
หลักการนี้เป็นการต่อยอดจากหลักความชอบ โดยเน้นการสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มหรือชุมชนเดียวกัน เมื่อลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ของคุณเป็น “พวกเดียวกัน” แล้ว พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะเชื่อถือและสนับสนุนแบรนด์คุณมากขึ้น แต่แนะนำว่าการสร้างความเป็นเอกภาพต้องทำอย่างจริงใจและต่อเนื่องเพื่อให้สามารถสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาวกับลูกค้าได้จริง
ตัวอย่างการนำไปใช้ :
- แบรนด์รองเท้าวิ่งสร้างชมรมนักวิ่งในแต่ละเมือง และจัดกิจกรรมวิ่งร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ
- บริษัทเทคโนโลยีใช้คำว่า “ครอบครัว” แทนคำว่า “ลูกค้า” ในการสื่อสาร เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง
Cialdini Principle ทั้ง 7 ข้อต่างก็เป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการทำความเข้าใจจิตวิทยาลูกค้าและการโน้มน้าวใจ การนำหลักการเหล่านี้ไปใช้อย่างชาญฉลาดและมีจริยธรรมจะช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เพิ่มยอดขาย และสร้างความภักดีต่อแบรนด์ได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าที่จริงใจแก่ลูกค้า และใช้หลักการเหล่านี้เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการและเป็นประโยชน์กับพวกเขาอย่างแท้จริง