อัปเดต 8 เทร็นด์เทคโนโลยีปี 2025 เพื่อยกระดับภาพลักษณ์ธุรกิจ
ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่ามีเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ทั้งยังได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็วโดยไม่มีทีท่าว่าจะถอยหลังกลับ ดังนั้น ธุรกิจต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องปรับตัวและนำนวัตกรรมเหล่านี้มาใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งปี 2025 ที่กำลังจะถึงนี้ จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการเทคโนโลยี บทความนี้จึงจะมาเผยเทร็นด์เทคโนโลยีที่สำคัญ 8 ประการที่คาดว่าจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาคธุรกิจ
8 เทร็นด์เทคโนโลยี 2025 ที่นักธุรกิจและนักการตลาดต้องจับตามอง
1. IoT (Internet of Things) จะยกระดับการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
IoT (Internet of Things) กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนโฉมของการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยภายในปี 2025 คาดว่าจะมีอุปกรณ์ IoT มากกว่า 75 พันล้านชิ้นทั่วโลก ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการปฏิวัติในหลายอุตสาหกรรม ธุรกิจจะสามารถใช้ประโยชน์จาก IoT ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ปรับปรุงการจัดการสินค้าคงคลัง และยกระดับการบริการลูกค้า นอกจากนี้ แนวคิดเรื่อง Smart Home และ Smart City จะเข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น โดยอาศัยการทำงานร่วมกันของอุปกรณ์ IoT จำนวนมาก ทำให้การใช้ชีวิตและการทำงานของผู้คนมีความสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าที่เคย
2. Cookies กำลังจะหายไปเนื่องจากโลกให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวมากขึ้น
เมื่อก่อน เวลาเราเข้าเว็บไซต์อะไรสักอย่าง สิ่งแรกที่จะพ็อปอัปขึ้นมาบนหน้าจอก็คือการขอความยินยอมในการเก็บ Cookies หรือก็คือข้อมูลส่วนตัวของผู้เข้าชมเว็บไซต์ แต่สำหรับเทร็นด์เทคโนโลยีในอนาคตอันใกล้นี้ บอกได้เลยว่า Cookies กำลังจะหายไป เนื่องจากผู้คนให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวกันมากขึ้น โดย Google ได้ประกาศแผนที่จะเลิกใช้ Third-party Cookies ภายในสิ้นปี 2024 ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อวงการการตลาดดิจิทัล ดังนั้น นักการตลาดจึงต้องปรับตัวและหาวิธีใหม่ในการเก็บข้อมูลและติดตามพฤติกรรมผู้บริโภค โดยเทคโนโลยีใหม่ เช่น Federated Learning of Cohorts (FLoC) อาจจะเข้ามาแทนที่ Cookies แต่ขณะนี้ก็ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาและทดสอบ
3. Cloud และ Edge Computing จะมีบทบาทมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบคอมพิวเตอร์
อีกหนึ่งเทร็นด์เทคโนโลยี 2025 ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือ Cloud Computing ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงทรัพยากรคอมพิวเตอร์ได้อย่างยืดหยุ่นและประหยัดต้นทุน รวมถึง Edge Computing ที่ช่วยลดความล่าช้าในการประมวลผลข้อมูลโดยนำการคำนวณเข้าใกล้แหล่งข้อมูลมากขึ้น การผสมผสานระหว่างสองเทคโนโลยีนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ IoT และ AI เป็นอย่างมาก มีผู้เชี่ยวชาญหลายรายคาดการณ์ว่าตลาด Edge Computing จะเติบโตถึง 61 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2028 ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น การผลิตอัจฉริยะ การขนส่งอัตโนมัติ หรือการดูแลสุขภาพทางไกล
4. Email Marketing การตลาดแบบเก่าจะกลับมาบูมอีกครั้ง
ในยุคที่ผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว Email Marketing ซึ่งเป็นการตลาดแบบดั้งเดิมกำลังจะกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง เนื่องจากเป็นช่องทางที่มีความเป็นส่วนตัวและสามารถควบคุมได้ โดยการใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลและปรับแต่งเนื้อหาจะทำให้กลยุทธ์ Email Marketing มีประสิทธิภาพมากขึ้น กล่าวคือ สามารถส่งข้อความที่ตรงความต้องการของผู้รับได้มากกว่าเก่า นอกจากนี้ การใช้ Interactive Email ที่ผู้รับสามารถโต้ตอบได้โดยตรงจากอีเมล จะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดได้อย่างมาก
5. การเข้าสู่ยุค Quantum Computing อย่างเป็นทางการ
สำหรับเทร็นด์เทคโนโลยีในอนาคตอันใกล้นี้ เรากำลังจะเข้าสู่ยุค Quantum Computing กันอย่างเป็นทางการ โดยเทคโนโลยีนี้มีศักยภาพในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้เร็วกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไปหลายล้านเท่า ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเงิน การแพทย์ และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม การเข้าสู่ยุค Quantum Computing ก็มาพร้อมกับความท้าทายด้านความปลอดภัย เนื่องจาก Quantum Computer อาจสามารถทำลายระบบการเข้ารหัสแบบดั้งเดิมได้ ดังนั้น ธุรกิจจึงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้น และพิจารณาลงทุนในเทคโนโลยีการเข้ารหัสแบบใหม่ที่ปลอดภัยจาก Quantum Computing
6. พลังงานสะอาดและเทคโนโลยีสีเขียว
ภายในปี 2025 คาดว่าการใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากต้นทุนที่ลดลงและประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ เทคโนโลยีการกักเก็บพลังงานจะได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ทำให้การใช้พลังงานสะอาดมีเสถียรภาพมากขึ้นและสามารถนำมาใช้ได้อย่างต่อเนื่อง ธุรกิจจะต้องปรับตัวเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มความยั่งยืนในการดำเนินงาน ไม่เพียงเพื่อตอบสนองต่อกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย โดยบริษัทที่สามารถนำเสนอโซลูชันด้านความยั่งยืนได้จะมีความได้เปรียบในการแข่งขันมากกว่าธุรกิจที่เพิกเฉยต่อประเด็นดังกล่าว
7. เทคโนโลยี No-Code เพื่อการดำเนินงานแบบ Automation
เทคโนโลยี No-Code กำลังปฏิวัติวงการพัฒนาซอฟต์แวร์และการดำเนินงานแบบ Automation ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่ไม่มีความรู้ด้านการเขียนโคดสามารถสร้างแอปพลิเคชันและระบบอัตโนมัติได้ด้วยตนเอง ส่งผลให้ธุรกิจสามารถพัฒนาโซลูชันได้เร็วขึ้นและลดต้นทุนในการพัฒนาซอฟต์แวร์ นอกตากนี้ ข้อดีของการนำเทร็นด์เทคโนโลยี No-Code มาปรับใช้ คือ จะช่วยลดช่องว่างระหว่างฝ่าย IT และฝ่ายธุรกิจ ทำให้องค์กรสามารถตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แล้วยังช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยและสตาร์ตอัปสามารถสร้างผลิตภัณฑ์และบริการได้ด้วยทรัพยากรที่จำกัด ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ในตลาดมากขึ้นด้วย
8. AI จะตอบสนองและตัดสินใจแทนมนุษย์ได้ดียิ่งขึ้นในหลากหลายอุตสาหกรรม
ภายในปี 2025 AI จะมีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่และการตัดสินใจแบบอัตโนมัติที่ซับซ้อนมากขึ้น การใช้ AI ในการให้บริการลูกค้า เช่น แชตบอตและระบบตอบคำถามอัตโนมัติ จะแพร่หลายและมีความสมจริงยิ่งกว่าปีที่ผ่าน ๆ มา จนยากที่จะแยกได้ว่าอันไหนคือ AI ตอบ อันไหนคือมนุษย์ตอบ นอกจากนี้ AI ยังจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต การจัดการห่วงโซ่อุปทาน และการวางแผนธุรกิจ โดยสามารถคาดการณ์แนวโน้มตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคได้แม่นยำยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การใช้ AI อย่างแพร่หลายย่อมนำมาซึ่งประเด็นด้านจริยธรรมและความโปร่งใส ดังนั้น ธุรกิจจะต้องพิจารณาและจัดการกับประเด็นเหล่านี้อย่างรอบคอบ เพื่อสร้างความไว้วางใจจากผู้บริโภคและสังคม
เทร็นด์เทคโนโลยีทั้ง 8 ประการนี้จะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่จะยกระดับธุรกิจในปี 2025 ธุรกิจที่สามารถปรับตัวและนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะมีความได้เปรียบในการแข่งขันและสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้าได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้นั้น ธุรกิจจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมในหลายด้าน ทั้งการพัฒนาบุคลากร การปรับโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที และการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืน