< Back

Generic Strategies กลยุทธ์สร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง !

MarketingBusiness
AD
โดย:Jenosize.com
share36share0

รู้จัก Porter's Generic Strategies กลยุทธ์เด็ดพิชิตใจตลาด


ในช่วงเวลาที่ตลาดเต็มไปด้วยความผันผวน การมีเพียงสินค้าและบริการที่ดีอาจไม่เพียงพออีกต่อไป ธุรกิจที่ต้องการความสำเร็จในระยะยาวจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งและชัดเจน ซึ่ง Porter's Generic Strategies คือ หนึ่งในกรอบแนวคิดที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกธุรกิจ และได้รับพิสูจน์แล้วว่าสามารถนำพาองค์กรสู่ความสำเร็จในทุกยุคสมัย ตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรมจนถึงยุคดิจิทัล



Porter's Generic Strategies คืออะไร ?


Porter's Generic Strategies คือ แนวคิดที่พัฒนาโดย Michael E. Porter นักวิชาการด้านกลยุทธ์ธุรกิจชื่อดังแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งกลยุทธ์สมัยใหม่ โดย Generic Strategies Framework ถือเป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่องค์กรสามารถเลือกใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาด แนวคิดนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการธุรกิจทั่วโลก เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้องค์กรสามารถกำหนดตำแหน่งทางการแข่งขันของตนเองได้อย่างชัดเจน รวมถึงสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

Porter's Generic Strategies มีอะไรบ้าง ? พร้อมยกตัวอย่างธุรกิจจริง


Porter's Generic Strategies Framework ประกอบด้วยกลยุทธ์พื้นฐาน 3 รูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบจะมีลักษณะเฉพาะและเหมาะสมกับธุรกิจที่แตกต่างกัน ดังนี้


1. กลยุทธ์การเป็นผู้นำด้านต้นทุน (Cost Leadership Strategy)

กลยุทธ์นี้มุ่งเน้นการลดต้นทุนในทุกกระบวนการให้ต่ำที่สุด เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการในราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่ง โดยที่ยังคงรักษาคุณภาพให้อยู่ในระดับที่ลูกค้ายอมรับได้ ธุรกิจที่ใช้กลยุทธ์นี้จะให้ความสำคัญกับการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) และการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ


ตัวอย่างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เช่น

  • Walmart ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ที่มีระบบการจัดการห่วงโซ่อุปทานที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้สามารถนำเสนอสินค้าในราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่ง
  • Air Asia สายการบินต้นทุนต่ำที่ลดค่าใช้จ่ายในทุกด้าน ตั้งแต่การใช้เครื่องบินรุ่นเดียวกันทั้งฝูงบิน การจำหน่ายตั๋วผ่านช่องทางออนไลน์ และการให้บริการแบบพื้นฐาน
  • 7-Eleven ร้านสะดวกซื้อที่มีระบบการจัดการสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพ และการใช้ประโยชน์จากการสั่งซื้อจำนวนมาก


2. กลยุทธ์การสร้างความแตกต่าง (Differentiation Strategy)

กลยุทธ์นี้เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มที่โดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่ง ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าสินค้าหรือบริการมีความพิเศษและเต็มใจที่จะจ่ายในราคาที่สูงขึ้น ซึ่งการสร้างความแตกต่างอาจทำได้ในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของนวัตกรรม คุณภาพ การออกแบบ หรือแม้แต่รูปแบบการบริการ


ตัวอย่างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เช่น

  • Apple นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีการออกแบบสวยงาม ใช้งานง่าย และมีระบบนิเวศทางดิจิทัลที่ครบวงจรกว่าสมาร์ตโฟนแบรนด์อื่น
  • Starbucks สร้างประสบการณ์การดื่มกาแฟที่แตกต่าง ด้วยบรรยากาศร้าน การบริการ และความหลากหลายของเครื่องดื่ม
  • Mercedes-Benz เน้นความหรูหรา เทคโนโลยีล้ำสมัย และความปลอดภัยระดับสูง


3. กลยุทธ์การมุ่งเน้นเฉพาะกลุ่ม (Focus Strategy)

กลยุทธ์นี้คือการผสมผสานระหว่างสองกลยุทธ์แรก โดยจะแบ่งออกเป็นสองแนวทาง ได้แก่ การมุ่งเน้นต้นทุน (Focus Cost Leadership) และการมุ่งเน้นความแตกต่าง (Focus Differentiation) ซึ่งตะเลือกเน้นเฉพาะตลาดบางส่วนหรือกลุ่มลูกค้าเฉพาะกลุ่ม แทนที่จะแข่งขันในตลาดใหญ่


ตัวอย่างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เช่น

Focus Cost Leadership

Daiso ร้านค้าที่เน้นขายสินค้าราคาเดียว เจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสินค้าราคาประหยัด

  • Uniqlo เสื้อผ้าพื้นฐานคุณภาพดีในราคาที่เข้าถึงได้


Focus Differentiation
  • Tesla เน้นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียม

Harley-Davidson มุ่งเน้นตลาดมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว



ข้อควรรู้ก่อนนำ Porter's Generic Strategies Framework ไปปรับใช้กับธุรกิจ


การนำกลยุทธ์ของ Porter ไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจนั้น ผู้บริหารและผู้ประกอบการจำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยสำคัญหลายประการ เพื่อให้การนำกลยุทธ์ไปใช้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างยั่งยืน


หลีกเลี่ยงการติดกับดักกลาง ๆ (Stuck in the Middle)

การไม่สามารถเลือกกลยุทธ์ที่ชัดเจน หรือการพยายามใช้หลายกลยุทธ์พร้อมกัน มักนำไปสู่สภาวะที่เรียกว่า “Stuck in the Middle” หรือการติดอยู่ตรงกลาง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่องค์กรไม่มีจุดแข็งที่โดดเด่นในด้านใดด้านหนึ่ง ตัวอย่างเช่น หากธุรกิจพยายามที่จะเป็นทั้งผู้นำด้านต้นทุนและผู้สร้างความแตกต่างในเวลาเดียวกัน อาจทำให้ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายทั้งสองด้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอาจเสียเปรียบคู่แข่งที่มีจุดยืนที่ชัดเจนกว่า


ความยืดหยุ่นและการปรับตัว

ในยุคที่เทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กลยุทธ์ที่เลือกใช้ต้องมีความยืดหยุ่นและพร้อมปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ตลาด ดังนั้น ธุรกิจจึงควรมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินกลยุทธ์อย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ เช่น การปรับเปลี่ยนช่องทางการจัดจำหน่ายจากออฟไลน์สู่ออนไลน์ หรือการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป


การประเมินความคุ้มค่าในการลงทุน

การลงทุนในกลยุทธ์ต้องคำนึงถึงผลตอบแทนและความเสี่ยงอย่างรอบคอบเสมอ กล่าวคือ ธุรกิจควรทำการวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับอย่างละเอียด รวมถึงประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงด้านการเงิน ด้านการตลาด หรือการดำเนินงาน เป็นต้น

 

 แม้ Generic Strategies จะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการกำหนดทิศทางธุรกิจ ทว่าความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่การเลือกกลยุทธ์เท่านั้น แต่อยู่ที่การนำไปปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพด้วย ดังนั้น องค์กรต้องเข้าใจจุดแข็ง จุดอ่อน และสภาพแวดล้อมทางธุรกิจของตนเองอย่างลึกซึ้ง เพื่อเลือกและปรับใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุด และสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้อย่างแท้จริง

Loading...

ร่วมเปิดกล่องโอกาส
แห่งอนาคตด้วยกัน

Contact

Brief Us

ง่ายและรวดเร็ว
เราจะติดต่อกลับภายใน 24 ชั่วโมง

facebook chat

คุยกับทีมฝ่ายขาย

ให้บริการ จันทร์ถึงศุกร์
9:00 น. - 19:00 น.

mobile

โทรติดต่อฝ่ายขาย

ให้บริการ จันทร์ถึงศุกร์
9:00 น. - 19:00 น.