10 Retail Trend ทั่วโลก ฉบับปี 2025 มีอะไรที่ควรอัปเดตบ้าง ?
ช่วงปีที่ผ่านมาจนถึงปีนี้ พฤติกรรมผู้บริโภคว่าเปลี่ยนไปเร็วแล้ว เคยจินตนาการถึงอนาคตอันใกล้อย่างปี 2025 กันบ้างหรือไม่ว่าภาพรวมเทร็นด์ธุรกิจจะเป็นอย่างไร ? บทความนี้จะมาเผย 10 Retail Trend ประจำปี 2025 ที่ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกต้องรู้ เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ยุค Marketing 6.0 อย่างแท้จริง บอกเลยว่ารู้ก่อน ได้เปรียบก่อนแน่นอน !
10 Retail Trend เทร็นด์ร้านค้าปลีกปี 2025 จะมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง ?
1. AI และ Machine Learning จะมีบทบาทสำคัญในการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้ามากขึ้น
แม้ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ เราจะเคยได้ยินเกี่ยวกับ AI และ Machine Learning กันบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ แต่ในปี 2025 สองสิ่งนี้จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า ผ่านการวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อ ความชอบ และความต้องการของลูกค้าแต่ละรายอย่างแม่นยำ ทำให้สามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ AI ยังช่วยในการจัดสต็อกสินค้าให้มีประสิทธิภาพ โดยสามารถคาดการณ์ความต้องการของตลาดและปรับปริมาณสินค้าให้เหมาะสม ลดปัญหาสินค้าขาดหรือล้นสต็อก ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มกำไรให้กับธุรกิจได้
2. การผสมผสานระหว่างประสบการณ์ทางกายภาพและดิจิทัล (Phygital) จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในวงการค้าปลีก
คำว่า “Phygital” เป็นการผสมผสานระหว่างคำว่า Physical (กายภาพ) และ Digital (ดิจิทัล) ซึ่งจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในวงการค้าปลีก กล่าวคือ ร้านค้าจะไม่ได้แบ่งแยกระหว่างช่องทางออนไลน์และออฟไลน์อีกต่อไป แต่จะหลอมรวมทั้งสองโลกเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ เช่น ลูกค้าสามารถใช้แอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟนเพื่อสแกนสินค้าในร้านและดูข้อมูลเพิ่มเติม รีวิว หรือวิดีโอสาธิตการใช้งานได้อย่างสะดวก แล้วยังสามารถเปรียบเทียบราคา สั่งซื้อสินค้าที่ไม่มีในสต็อก หรือรับส่วนลดพิเศษผ่านแอปฯ ได้ทันที นอกจากนี้ เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) จะช่วยให้ลูกค้าสามารถลองสินค้าเสมือนจริงก่อนตัดสินใจซื้อ เช่น การลองเสื้อผ้า เครื่องสำอาง หรือเฟอร์นิเจอร์ในบ้าน ลดอัตราการคืนสินค้าและเพิ่มความพึงพอใจแก่ลูกค้าได้ด้วย
3. ร้านค้าไร้พนักงานจะกลายเป็นเรื่องปกติในหลากหลายอุตสาหกรรม
โดยเฉพาะในร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านอาหารบางประเภท เนื่องจากจะมีเทคโนโลยีการจดจำใบหน้า การสแกนสินค้าอัตโนมัติ และระบบการชำระเงินแบบไร้สัมผัส ที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าและชำระเงินได้โดยไม่ต้องผ่านแคชเชียร์ ลดเวลาในการรอคิว รวมถึงเพิ่มความสะดวกสบายแก่ลูกค้า และในขณะเดียวกันก็ช่วยลดต้นทุนด้านบุคลากรให้กับธุรกิจด้วย
4. การวิเคราะห์ข้อมูลจะช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถนำเสนอประสบการณ์ที่เฉพาะเจาะจงลูกค้าแต่ละรายมากขึ้น
Big Data และการวิเคราะห์ข้อมูลจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกเข้าใจลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น โดยข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง เช่น พฤติกรรมการเข้าชมเว็บไซต์ ประวัติการซื้อ การใช้งานแอปพลิเคชัน หรือข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย จะถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อสร้างโพรไฟล์ลูกค้าที่ละเอียดและแม่นยำ ด้วยข้อมูลเหล่านี้ ธุรกิจค้าปลีกจะสามารถนำเสนอประสบการณ์ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับลูกค้าแต่ละรายได้มากขึ้น ตั้งแต่การแนะนำสินค้าที่ตรงกับความสนใจ การส่งโปรโมชันที่เหมาะสม ไปจนถึงการปรับเปลี่ยนหน้าเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันให้เหมาะกับพฤติกรรมการใช้งานของแต่ละบุคคล
5. ป้ายโฆษณาดิจิทัลจะมีความก้าวหน้าและมีบทบาทสำคัญในการสื่อสารกับลูกค้ามากขึ้น
ป้ายโฆษณาดิจิทัลจะไม่ใช่แค่การแสดงข้อความหรือภาพนิ่งเหมือนในอดีต แต่จะเป็นป้ายอัจฉริยะที่สามารถปรับเปลี่ยนเนื้อหาได้ตามสถานการณ์และกลุ่มเป้าหมายที่อยู่หน้าร้าน โดยอาศัยเทคโนโลยีการจดจำใบหน้าและการวิเคราะห์ข้อมูล ในการช่วยให้ป้ายโฆษณาสามารถแสดงเนื้อหาที่เหมาะสมกับเพศ อายุ และอารมณ์ของผู้ที่เดินผ่าน นอกจากนี้ ยังสามารถปรับเปลี่ยนตามสภาพอากาศ เวลา หรือเหตุการณ์สำคัญที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้นได้ด้วย กล่าวได้ว่าในปี 2025 ป้ายโฆษณาดิจิทัลจะกลายเป็นช่องทางสำคัญในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า และอาจมีการเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนของลูกค้าเพื่อส่งข้อมูลเพิ่มเติม คูปองส่วนลด หรือเชิญชวนให้เข้าร่วมกิจกรรมพิเศษ
6. ฉลากราคาอิเล็กทรอนิกส์จะพัฒนาไปอีกขั้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้รายละเอียดราคาและข้อมูลสินค้า
ระบบฉลากราคาอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยให้ร้านค้าสามารถปรับเปลี่ยนราคาและข้อมูลสินค้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ โดยไม่ต้องเสียเวลาและแรงงานในการเปลี่ยนป้ายราคาแบบเดิม อีกทั้งระบบดังกล่าวยังสามารถแสดงข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้า เช่น ส่วนผสม แหล่งที่มา รีวิวจากลูกค้า หรือแม้แต่คำแนะนำในการใช้งาน ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนก่อนตัดสินใจซื้อ
7. การสร้างคอนเทนต์ที่ออกแบบมาเพื่อธุรกิจค้าปลีกโดยเฉพาะจะมีความสำคัญมากขึ้น
ร้านค้าจะต้องผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพ น่าสนใจ และตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อดึงดูดลูกค้าและสร้างความผูกพันกับแบรนด์ โดยคอนเทนต์อาจอยู่ในรูปแบบของบทความให้ความรู้ วิดีโอสาธิตการใช้สินค้า รีวิวจากผู้ใช้จริง หรือแม้แต่เนื้อหาที่สร้างสรรค์โดย AI เพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละรายก็ได้ ซึ่งการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่าจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและสร้างความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว
8. ระบบจัดการคอนเทนต์ (CMS) จะมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการข้อมูลและการสื่อสารในธุรกิจค้าปลีก
CMS จะช่วยให้ร้านค้าสามารถจัดการเนื้อหาบนเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และช่องทางการสื่อสารอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงข้อมูลสินค้า การอัปเดตโปรโมชัน หรือการเผยแพร่คอนเทนต์ใหม่ ๆ ลงบนแพลตฟอร์มของแบรนด์ก็สามารถทำได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้น CMS ยังช่วยในการจัดการฐานข้อมูลลูกค้า รวมไปถึงการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของเนื้อหาต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
9. ความยั่งยืนและจริยธรรมในการบริโภคจะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค
ลูกค้าจะให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ดังนั้น ร้านค้าปลีกจะต้องปรับตัวโดยการนำเสนอสินค้าที่ผลิตอย่างยั่งยืน ใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีนโยบายการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญคือ อาจต้องมีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งที่มาของสินค้า กระบวนการผลิต และนโยบายด้านแรงงานให้ลูกค้าทราบอย่างโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจเรื่องความยั่งยืนมากขึ้น
10. การชอปปิงจะไม่ใช่แค่การซื้อสินค้า แต่เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ
ร้านค้าปลีกจะต้องสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่แปลกใหม่และน่าตื่นเต้นให้กับลูกค้า เพื่อดึงดูดให้พวกเขาออกมาจากบ้านและเลือกที่จะมาชอปปิงที่ร้านแทนการสั่งซื้อออนไลน์ โดยอาจมีการจัดกิจกรรมพิเศษ เช่น เวิร์กชอป การจัดนิทรรศการภายในร้าน หรือแม้แต่การออกแบบพื้นที่ร้านให้เป็นสถานที่พักผ่อนและสังสรรค์ ทั้งหมดนี้จะช่วยสร้างความประทับใจและทำให้ลูกค้าอยากกลับมาใช้บริการซ้ำได้
เทร็นด์การค้าปลีกในปี 2025 จะเน้นการผสมผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ากับการสร้างประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวและมีความหมายสำหรับลูกค้า ซึ่งผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง โดยคำนึงถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการทั้งความสะดวกสบาย ความเป็นส่วนตัว และความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม แล้วธุรกิจค้าปลีกของคุณจะเข้าใกล้ความสำเร็จมากยิ่งกว่าที่เคย