Spatial Computing & Immersive Tech กับโอกาสทางธุรกิจค้าปลีก
เมื่อเราเข้าสู่ยุคการตลาด 5.0 ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจต่าง ๆ อย่างเต็มรูปแบบ ไม่เว้นแม้แต่ธุรกิจค้าปลีก โดยหนึ่งในเทคโนโลยีดิจิทัลที่กำลังมาแรงมากในปีนี้ ได้แก่ “Spatial Computing” และ “Immersive Technology” ที่มีเริ่มมีแบรนด์บางส่วนในไทยนำมาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้ธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดประสบการณ์ชอปปิงที่น่าดึงดูดใจ หรือการนำเสนอสินค้าและบริการแบบเฉพาะเจาะจง (Personalized) ทำให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจ อันจะนำมาซึ่งโอกาสในการสร้างรายได้ให้เพิ่มมากขึ้นและก่อให้เกิดความภักดีต่อแบรนด์ได้ในระยะยาว
มารู้จักทั้งสองเทคโนโลยีนี้ให้มากขึ้น พร้อมทำความเข้าใจการนำนวัตกรรมดังกล่าวมาปรับใช้กับธุรกิจค้าปลีกให้มีประสิทธิภาพ ทันสมัย และโดดเด่นเหนือคู่แข่ง
Spatial Computing คืออะไร
Spatial Computing คือ การประมวลผลข้อมูลเชิงพื้นที่ เป็นเทคโนโลยีที่ผสานระหว่างโลกเสมือนจริงกับโลกแห่งความเป็นจริงเข้าด้วยกัน โดยการสร้างสภาพแวดล้อมและวัตถุต่าง ๆ ในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งทุกสิ่งที่อยู่ในโลกจริง ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้งาน วัตถุ หรือสภาพแวดล้อม ก็สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งที่อยู่ในรูปแบบดิจิทัลได้อย่างไร้รอยต่อ
Immersive Technology คืออะไร
Immersive Technology คือ เทคโนโลยีที่จำลองประสบการณ์ให้ดูเสมือนจริงแบบรอบด้าน โดยสามารถดึงดูดผู้ใช้งานในโลกความจริงเข้าสู่สภาพแวดล้อมเสมือนจริงที่สร้างขึ้นได้ ผ่านการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยี Augmented reality (AR) กับ Virtual reality (VR) ที่มีทั้งภาพ เสียง และการรับรู้การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ตัวอย่างที่เราเห็นกันบ่อย ๆ ก็จะเป็นแว่น VR ที่เมื่อสวมแล้วจะเข้าสู่อีกสภาพแวดล้อมหนึ่งซึ่งไม่ใช่ที่ที่เรายืนอยู่ ณ ขณะนั้นจริง ๆ อย่างเต็มรูปแบบ หรือล่าสุดก็คือแว่น Apple Vision Pro ซึ่งเป็นแว่น Spatial Computer รุ่นแรกของ Apple นั่นเอง
การประยุกต์ใช้ Spatial Computing & Immersive Tech ในร้านค้าปลีก
ธุรกิจค้าปลีกสามารถนำเทคโนโลยี Spatial Computing & Immersive Tech มาปรับใช้ได้หลายวิธี โดยตัวอย่างการใช้งานที่พบบ่อย มีดังนี้
การให้ลูกค้าลองสินค้าเสมือนจริง
ร้านขายเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ หรือเครื่องสำอาง สามารถนำนวัตกรรมดังกล่าวมาช่วยให้ลูกค้าสามารถลองสินค้าเสมือนจริงก่อนตัดสินใจซื้อ เช่น การลองสวมเสื้อผ้าเสมือนจริงโดยไม่ต้องถอดเสื้อผ้าที่ใส่ หรือลองแต่งหน้าเสมือนจริงแบบไม่ต้องใช้เครื่องสำอาง โดยอาศัยระบบ Computer Vision ซึ่งใช้เทคนิคปัญญาประดิษฐ์อย่าง Machine Learning และ Deep Learning เพื่อติดตามตำแหน่งและการเคลื่อนไหว ตรวจจับใบหน้า และแยกแยะวัตถุ ควบคู่ไปกับเทคโนโลยี AR
การนำทางในร้านค้า
หากเป็นร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ มีสินค้าจำนวนมาก สามารถใช้เทคโนโลยี AR เข้ามาช่วยโดยการสร้างแผนที่แบบ 3 มิติของร้านค้า ให้ลูกค้าค้นหาสินค้าได้อย่างสะดวกสบายและรวดเร็วยิ่งขึ้นได้ และอาจใช้เทคโนโลยี 3D Scanning เพื่อสร้างโมเดล 3 มิติของพื้นที่ภายในร้านค้า รวมถึงตำแหน่งที่ตั้งของสินค้าและอุปกรณ์ต่าง ๆ แล้วเก็บเป็นข้อมูลดิจิทัลบนระบบคลาวด์
การชำระเงินอัตโนมัติ
ลูกค้าสามารถชำระเงินได้แบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องพึ่งพาแคชเชียร์ โดยการประยุกต์ใช้ลักษณะนี้พบแล้วในธุรกิจค้าปลีกในประเทศจีนและอเมริกา ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและลดระยะเวลารอคอยในการชำระเงินให้แก่ลูกค้า อาศัยเทคโนโลยีหลัก ๆ คือ ระบบจดจำใบหน้าและยืนยันตัวตน เพื่อเชื่อมโยงกับบัญชีผู้ใช้และข้อมูลการชำระเงินได้อย่างรวดเร็ว
การชอปปิงจากระยะไกล
ธุรกิจสามารถใช้เทคโนโลยี VR เพื่อให้ลูกค้าชอปปิงในร้านค้าเสมือนจริงได้ โดยไม่ต้องเดินทางไปที่ร้านค้าจริง ซึ่งนี่ไม่ใช่แค่การซื้อของออนไลน์แบบธรรมดา แต่เป็นการทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้อยู่ในร้านของเราจริง ๆ แม้ว่าจะนั่งสั่งสินค้าอยู่ที่บ้านก็ตาม เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้าประทับใจ
ข้อดีของการใช้ Spatial Computing และ Immersive Tech ในร้านค้าปลีก
ช่วยสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจแก่ลูกค้า
เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยเพิ่มมิติใหม่ในประสบการณ์การชอปปิงของลูกค้า เพราะช่วยให้ทั้งได้เห็น ได้ยิน และได้สัมผัสสินค้าแบบเสมือนจริงก่อนตัดสินใจซื้อ ซึ่งเมื่อลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีแล้ว ก็จะเกิดความผูกพันกับธุรกิจมากขึ้น อันจะนำมาสู่การมี Loyalty ได้ในที่สุด
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขาย
ร้านค้าปลีกสามารถนำเสนอสินค้าได้อย่างละเอียดและน่าสนใจยิ่งขึ้น ลดข้อจำกัดด้านพื้นที่และเวลาในการขายสินค้าและบริการ รวมถึงสามารถให้คำแนะนำที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้มากกว่าเดิม ทำให้ลูกค้ารู้สึกอยากกลับมาอุดหนุนซ้ำ
ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างแม่นยำ
เทคโนโลยี AI ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเก็บข้อมูลพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ผ่านการติดตามการเคลื่อนไหวและปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้งานกับสินค้าดิจิทัลที่เราสร้างขึ้น จากนั้น สามารถนำข้อมูลที่รวบรวมได้มาวิเคราะห์เพื่อพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
เพิ่มโอกาสการขายสินค้าร่วมอื่น ๆ
ตัวอย่างง่าย ๆ เช่น ลูกค้าตั้งใจจะซื้อเสื้อตัวเดียว แต่เมื่อลองเสื้อตัวดังกล่าวผ่านระบบเสมือนจริงแล้ว ระบบอาจแนะนำกระโปรงที่เข้ากันเพิ่มให้อีกตัว ซึ่งพอลูกค้าลองใส่แล้วชอบ ก็มีโอกาสที่จะขายได้มากกว่าความตั้งใจแรกของลูกค้า เรียกได้ว่าทั้งง่ายต่อการแนะนำสินค้า ทั้งช่วยเพิ่มยอดขายให้มากขึ้นในเวลาเดียวกัน
การปรับใช้เทคโนโลยี Spatial Computing และ Immersive Tech กับธุรกิจอย่างชาญฉลาด จะช่วยยกระดับประสบการณ์ทั้งทางฝั่งธุรกิจและฝั่งลูกค้า เพราะในขณะที่ลูกค้าสามารถเข้ามาสัมผัสสินค้าและได้ชอปปิงในรูปแบบใหม่ ๆ อันนำไปสู่การตัดสินใจซื้อและสร้างความภักดีในระยะยาว ธุรกิจก็ได้ปรับภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัยมากขึ้น และเป็นที่จดจำในฐานะการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมแห่งโลกอนาคต
ทั้งนี้ ต้องอย่าลืมคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวของลูกค้าด้วย โดยการเก็บข้อมูลและพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้าจำเป็นต้องได้รับความยินยอมก่อนเสมอ พร้อมทั้งนำข้อมูลเหล่านั้นมาดำเนินการอย่างโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากผู้บริโภค
อยากเร่งเครื่องความสำเร็จของธุรกิจในโลกเสมือน ที่เจโนไซส์มีบริการรับทำแบรนด์เวิร์ส (BrandVerse) ช่วยพาธุรกิจของคุณก้าวเข้าสู่ยุค 5.0 ได้อย่างเต็มรูปแบบและมีประสิทธิภาพ ติดต่อเราได้เลยวันนี้