< Back

Hybrid Working จะกลายเป็นมาตรฐานสำหรับการทำงานยุคใหม่หรือไม่

TechnologyBusinessSelfcare
AD
โดย:Jenosize.com
share65share0

Hybrid Working รูปแบบการทำงานแห่งอนาคตที่ปฏิวัติวงการธุรกิจ


ตั้งแต่เกิดโรคโควิด-19 โลกของการทำงานก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคทำให้องค์กรต่าง ๆ ต้องปรับตัวและหาวิธีการทำงานรูปแบบใหม่ โดยหนึ่งในแนวคิดที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ได้แก่ “Hybrid Working” หรือการทำงานแบบผสมผสาน ซึ่งจะเป็นการสลับระหว่างการทำงานในออฟฟิศและการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) จนถึงปัจจุบัน หลายองค์กรก็ยังยึดถือรูปแบบการทำงานเช่นนี้ รวมถึงพนักงานยุคใหม่ก็เริ่มหันมามองหางาน Hybrid Working กันมากขึ้น เพราะหลายคนค้นพบแล้วว่าการได้ทำงานอยู่บ้านบ้าง เข้าออฟฟิศบ้างนั้น เสริมสร้าง Work-Life Balance ได้ดีกว่าการเข้าออฟฟิศทุกวัน ทั้งยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้หลายส่วนทีเดียว


ดังนั้น จึงเกิดเป็นคำถามที่น่าถกเถียงขึ้นมาว่า Hybrid Work คือมาตรฐานสำหรับการทำงานยุคใหม่หรือไม่ และทำไมองค์กรจึงควรปรับตัวเข้าสู่ยุค New Normal ด้วยการเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน เรามาวิเคราะห์กัน !



Hybrid Working คืออะไร ?

Hybrid Working คือ รูปแบบการทำงานที่ให้พนักงานสามารถสลับระหว่างการทำงานในออฟฟิศและการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) หรือสถานที่อื่น ๆ ได้ตามความเหมาะสม แนวคิดนี้เกิดขึ้นจากการผสมผสานข้อดีของการทำงานในออฟฟิศและการทำงานระยะไกล (Remote Work) เข้าด้วยกัน โดยมุ่งเน้นที่ความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพในการทำงาน


การทำงานแบบ Hybrid Working นั้น พนักงานอาจมีตารางการทำงานที่กำหนดวันเข้าออฟฟิศและวันทำงานจากที่บ้าน หรือมีอิสระในการเลือกสถานที่ทำงานตามความเหมาะสมของงานและความต้องการส่วนบุคคล ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับนโยบายขององค์กรและลักษณะงานของแต่ละตำแหน่งด้วย

 

ข้อดีของ Hybrid Working คืออะไร ที่ทำให้พนักงานยุคใหม่ชื่นชอบ


การจัดการเวลาและชีวิตส่วนตัวที่ดีขึ้น

Hybrid Workplace คือรูปแบบการทำงานที่ช่วยให้พนักงานสามารถจัดสรรเวลาระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการมีอิสระในการเลือกสถานที่ทำงานจะช่วยลดความเครียดจากการเดินทาง และเพิ่มเวลาให้กับครอบครัวหรืองานอดิเรก ส่งผลให้คุณภาพชีวิตโดยรวมดีขึ้น และความพึงพอใจในการทำงานก็เพิ่มขึ้นด้วย


การประหยัดค่าใช้จ่าย

การ Work from Home เป็นบางวันช่วยให้พนักงานสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก โดยเฉพาะค่าเดินทางและค่าอาหาร ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายประจำวันที่สูงสำหรับคนทำงานในเมืองใหญ่ นอกจากนี้ ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการแต่งตัวสำหรับการทำงานในออฟฟิศอีกด้วย


เพิ่มประสิทธิภาพและความคิดสร้างสรรค์

Hybrid Working เปิดโอกาสให้พนักงานได้เลือกสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะกับตนเองและลักษณะงานในแต่ละวัน ทำให้สามารถโฟกัสกับงานได้ดีขึ้น ตลอดจนกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการทำงาน


ลดความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง

สำหรับพนักงานที่อาศัยอยู่ไกลจากที่ทำงาน การลดจำนวนวันที่ต้องเดินทางไปออฟฟิศจะช่วยลดความเหนื่อยล้าและความเครียดจากการจราจรติดขัดได้เยอะ ทำให้มีพลังงานและแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น

 

เหตุผลที่องค์กรควรเปลี่ยนรูปแบบการทำงานมาเป็น Hybrid Working


เพื่อดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถ

ปัจจุบัน แต่ละบริษัทต่างก็แข่งขันกันเพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถสูง ซึ่งการเสนอรูปแบบการทำงานแบบ Hybrid Working ถือเป็นจุดขายที่สำคัญสำหรับองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในการทำงาน นอกจากนี้ ยังช่วยให้องค์กรสามารถรักษาพนักงานที่มีความสามารถไว้ได้นานขึ้น เนื่องจากพนักงานมีความพึงพอใจในการทำงานมากขึ้น


ส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กรสมัยใหม่

การนำแนวคิด Hybrid Working มาใช้ แสดงให้เห็นว่าองค์กรมีความทันสมัย เข้าใจความต้องการของพนักงาน และให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance ซึ่งช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อสาธารณะและดึงดูดทั้งลูกค้าและพนักงานที่มีคุณภาพ


เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน

Hybrid Working ช่วยให้องค์กรสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านสถานที่และสาธารณูปโภคได้ เนื่องจากไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่ทำงานสำหรับพนักงานทุกคนพร้อมกัน อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานโดยรวม เนื่องจากพนักงานมีความพึงพอใจและแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น


เตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง

โลกของการทำงานกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การนำ Hybrid Working มาใช้ช่วยให้องค์กรมีความยืดหยุ่นและพร้อมรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดคิด เช่น การระบาดของโรค หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานในออฟฟิศ


ขยายโอกาสในการสรรหาบุคลากร

Hybrid Working คือรูปแบบการทำงานเปิดโอกาสให้องค์กรสามารถจ้างพนักงานที่มีความสามารถได้จากทั่วโลก โดยไม่จำกัดอยู่แค่พื้นที่ใกล้เคียงกับสำนักงาน ทำให้มีตัวเลือกในการสรรหาบุคลากรที่หลากหลายและมีคุณภาพมากขึ้น



แนวโน้มของ Hybrid Working ในอนาคต

จากการสำรวจและการคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญ มีแนวโน้มที่ชัดเจนว่า Hybrid Working จะกลายเป็นรูปแบบการทำงานที่แพร่หลายมากขึ้นในอนาคต โดยมีปัจจัยสนับสนุนดังนี้


Hybrid Workplace คือแนวคิดที่ได้การยอมรับจากองค์กรชั้นนำ

บริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีหลายแห่ง เช่น Microsoft, Google, และ Salesforce ได้ประกาศนโยบาย Hybrid Working ถาวรอย่างเป็นทางการ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะส่งผลให้องค์กรอื่น ๆ พิจารณานำรูปแบบนี้ไปปรับใช้ตามด้วย


กลายเป็นความต้องการพื้นฐานของคนทำงานรุ่นใหม่

กลุ่มคนรุ่น Millennials และ Gen Z ซึ่งจะกลายเป็นกำลังหลักในตลาดแรงงานในอนาคต ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในการทำงานและ Work-Life Balance มาก ทำให้ Hybrid Work คือรูปแบบการทำงานที่ตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขามากที่สุด


การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างเมือง

Hybrid Working อาจส่งผลให้เกิดการกระจายตัวของที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทำงานมากขึ้น ลดความแออัดในเมืองใหญ่ และกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ชานเมืองหรือเมืองขนาดเล็ก


การให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี

หลังจากการระบาดของโควิด-19 ผู้คนก็หันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีมากขึ้น ซึ่ง Hybrid Working ตอบโจทย์ความต้องการนี้ด้วยการลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของโรคและเพิ่มคุณภาพชีวิตของพนักงาน

 

รุปว่า Hybrid Working มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นมาตรฐานสำหรับการทำงานยุคใหม่อย่างแน่นอน แม้จะมีความท้าทายบางประการ แต่ประโยชน์ที่ได้รับทั้งในแง่ของความยืดหยุ่น ประสิทธิภาพ และคุณภาพชีวิตของพนักงาน ทำให้รูปแบบการทำงานนี้เป็นที่ต้องการมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่อย่าลืมว่าองค์กรจำเป็นต้องมีการวางแผนที่รอบคอบ ลงทุนในเทคโนโลยีที่เหมาะสม รวมถึงสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนการทำงานแบบยืดหยุ่น เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการก้าวเข้าสู่โลกของการทำงานยุคใหม่ที่อาจเปลี่ยนแปลงแบบไม่มีวันย้อนกลับ

Related Content

ร่วมเปิดกล่องโอกาส
แห่งอนาคตด้วยกัน

Contact

Brief Us

ง่ายและรวดเร็ว
เราจะติดต่อกลับภายใน 24 ชั่วโมง

facebook chat

คุยกับทีมฝ่ายขาย

ให้บริการ จันทร์ถึงศุกร์
9:00 น. - 19:00 น.

mobile

โทรติดต่อฝ่ายขาย

ให้บริการ จันทร์ถึงศุกร์
9:00 น. - 19:00 น.